ถอดรหัส3ทุนไทย ซื้อแบรนด์นอกต่อยอดธุรกิจ

01 มิ.ย. 2561 | 06:43 น.
การเทกโอเวอร์เชนโรงแรม ไม่ใช่มีเฉพาะเชนโรงแรมระดับโลก เช่น แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ซื้อแบรนด์สตาร์วู้ด จนขึ้นแท่นเครือโรงแรมใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยห้องพักรวมกันมากกว่า 1.1 ล้านห้อง หรือล่าสุดแอคคอร์ โฮเทล ไปซื้อเชนเมอเวนพิคเท่านั้น จริงๆ แล้ว กลุ่มทุนไทยเอง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ก็มีการเข้าไปซื้อเชนโรงแรมในต่างประเทศเช่นกัน

3 บิ๊กมีพอร์ตในตปท.449รร.

ในอดีตเราอาจจะคุ้นชินกับการที่กลุ่มทุนโรงแรมและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เข้าไปซื้อโรงแรมหรือไปร่วมทุนดำเนินธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ ซึ่งก็จะว่ากันไปเป็นดีลๆ หรือเป็นแห่งๆ ไป แต่ทุกวันนี้ปรากฏการณ์การเข้าไปปักธงเป็นเจ้าของโรงแรมในต่างประเทศ จะเป็นในลักษณะคล้ายกับกลยุทธ์ที่เชนโรงแรมต่างประเทศใช้ นั่นก็คือการเข้าไปซื้อเชนหรือแบรนด์ที่มีอยู่ ลงทุนคราวเดียวร่วม 1-2 หมื่นล้านบาท เพื่อจะได้เป็นเจ้าของโรงแรมหลายๆ แห่งในคราวเดียว ไม่ใช่เป็นการเข้าไปซื้อเพียง 1-2 แห่งเหมือนในอดีต

การลงทุนของกลุ่มทุนไทยในลักษณะนี้ ที่เห็นภาพชัดเจนจะมี 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรก ได้แก่ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง และการร่วมมือระหว่าง สิงห์ เอสเตท และฟิโก้ คอร์เปอเรชั่น  เพื่อรุกโรงแรมในต่างประเทศ

ทั้งนี้หากเป็นกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมอยู่แล้ว อย่างไมเนอร์ วัตถุประสงค์หลัก ก็เพื่อขยายธุรกิจโรงแรมในมือ และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เพื่อไม่ให้มีเฉพาะโรงแรมในประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนการเข้าไปลงทุนโรงแรมในต่างประเทศของสิงห์ เอสเตท และฟิโก้ คอร์เปอเรชั่น  จะเป็นในลักษณะเพื่อการมุ่งสร้างรายได้ระยะยาวเป็นหลัก ในฐานะเจ้าของโรงแรม

หากรวมจำนวนโรงแรมที่ต่างประเทศในมือของ 3 กลุ่มทุนรายใหญ่นี้ เบ็ดเสร็จรวมกันแล้วมีกว่าถึง 449 แห่ง มูลค่าการลงทุนร่วม 5.18 หมื่นล้านบาท (ตารางประกอบ)

mp22-3370-b
รุกซื้อแบรนด์ต่อยอดธุรกิจ

โมเดลนี้ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จขึ้นไปอีก เมื่อนำแบรนด์มาต่อยอดกับธุรกิจโรงแรมที่มีอยู่เดิม

ล่าสุดเราจึงเห็นว่าปี 2561 ไมเนอร์ได้ประกาศทุ่มงบลงทุนอีกกว่า 192 ล้านยูโร (ราว 1.92 หมื่นล้านบาท)ในการก้าวเข้าไปเป็น 1 ในผู้ถือหุ้นหลักของ “เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป” ของอิตาลี ซึ่งเป็นเครือโรงแรมใหญ่อันดับ 6 ของทวีปยุโรป และเป็น 1 ใน 25 เครือโรงแรมชั้นนำระดับโลก ด้วยการเข้าไปถือหุ้น 30 ล้านหุ้นเพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ที่ไมเนอร์ ได้เข้าไปซื้อกิจการทั้งหมดของ กลุ่มทิโวลี  โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งเป็นโรงแรมแบรนด์ดังจากประเทศโปรตุเกส เมื่อปี 2559

รวมทั้งในอนาคตอันใกล้นี้ ไมเนอร์ก็จะเข้าไปร่วมงานกับทีมงานผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ เพื่อให้เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป สร้างผลตอบแทนที่แข็ง แกร่งและยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป ซึ่งจะเป็นอีกก้าวของไมเนอร์ ที่จะมีโอกาสในการเพิ่มรายได้โดยต่อยอดธุรกิจ เนื่องจากเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป มีความชำนาญในการดำเนินธุรกิจโรงแรมระดับกลางถึงระดับบน มีโรงแรมและรีสอร์ตเพิ่มอีก 382 แห่งรวมห้องพักกว่า 5.93 หมื่นห้อง ใน 30 ประเทศทั่วทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา ภายใต้แบรนด์โรงแรม NH Hotels, NH Collection Hotels, nhow Hotels และ Hesperia Resorts

22-1

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของไมเนอร์ โฮเทลส์ ซึ่งช่วยให้บริษัทมีโอกาสในการเร่งขยายธุรกิจของเราในระดับโลก ผ่านการลงทุนในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งมีธุรกิจและกลุ่มโรงแรมที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจของเราได้เป็นอย่างดี ทั้งในฐานะ 1 ในผู้ถือหุ้นหลัก เราจะช่วยสนับ สนุนทีมผู้บริหารของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องต่อไปและสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว  นอกจากนี้ไมเนอร์ยังสามารถสนับสนุนโรงแรมในเครือเอ็นเอชด้วยความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อสร้างผลการดำเนินงานและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้

หาโอกาสช็อปรร.ต่อเนื่อง

ขณะที่ “ยู ซิตี้” เอง แม้เมื่อช่วงกลางปี 2560 จะปิดดีลซื้อเชนโรงแรมในยุโรป อย่าง “เวียนนา เฮ้าส์” (Vienna House) จนเป็นเจ้าของ 24 โรงแรมในยุโรปตะวันออกกลางไปแล้ว ทิศทางที่ยู ซิตี้ จะเดินต่อจากนี้ คือ การสร้างแบรนด์เวียนนา  เฮ้าส์ เพื่อนำมาต่อยอดรุกธุรกิจรับบริหารโรงแรม ภายใต้บริษัท “เวียนนา อินเตอร์เนชั่นแนลโฮเทลแมเนจเม้นท์ เอจี” ที่ล่าสุดได้มีการเจรจาที่จะร่วมทุนกับ “นาคีล” บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เตรียมผุดโครงการบีชรีสอร์ท 620 ห้อง บนเกาะเดียรา ดูไบ มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท คาดว่าจะเปิดบริการประมาณปี 2563 โดยใช้แบรนด์เวียนนา เฮ้าส์ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการขยายแบรนด์เวียนนา เฮ้าส์ สู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง

22-2 นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า การลงทุนในธุรกิจโรงแรมในยุโรป เราไม่ได้มองเฉพาะกำไรหรือผลตอบแทนจากการลงทุนเพียงด้านเดียว ซึ่งตอนเราซื้อเวียนนา เฮ้าส์ ลงทุนไป 300 ล้านยูโร ถ้า เราขายตอนนี้จะมีกำไรกว่า 100 ล้านยูโร แต่เราไม่ขาย เพราะเรามองถึงการสร้างแบรนด์ เพื่อทำให้แบรนด์ได้มูลค่า นำไปต่อยอดขยายธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อมุ่งสร้างรายได้ในระยะยาวด้วย ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ที่จะเพิ่มโรงแรมในต่างประเทศเป็น 90 แห่ง

ขณะเดียวกันเราก็มองโอกาสที่เหมาะสมในการไปที่ซื้อกิจการเชนโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มขึ้น  หากตลาดจะกลับมาเป็นของผู้ซื้ออีกครั้ง  เหมือนกับที่เราไปซื้อเวียนนา เฮ้าส์ในยุโรป เพราะช่วงนั้นตลาดเป็นของผู้ซื้อ จากกรณีการเกิด BREXIT เมื่อ 2 ปีก่อน

ทั้งหมดล้วนเป็นทิศ ทางในการนำแบรนด์ที่ไปเทกโอเวอร์มา เพื่อต่อยอดธุรกิจและแสวงหาโอกาสในการทำรายได้ที่เกิดขึ้น

หน้า 22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ|ปีที่ 38  ฉบับ 3,370 ระหว่างวันที่ 31 พ.ค. - 2 มิ.ย. 2561

e-book-1-503x62