“ทริส “ยืนเรตติ้งหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันราชธานีลิสซิ่งที่ “A-”

28 พ.ค. 2561 | 04:46 น.
“ทริส “ยืนเรตติ้งหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 4 พันลบ. “บ. ราชธานีลิสซิ่ง” ที่ “A-”

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จากัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วย

tris

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัท ที่ได้รับแรงเสริมจากสถานะทางการตลาดและผลประกอบการทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว และรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานและระบบบริหารความเสี่ยงที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การพิจารณาอันดับเครดิต ยังคำนึงถึงการได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทด้วย อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท เนื่องจากทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารธนชาต อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรง และการพึ่งพิงรายได้จากสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก

raj1

บริษัทราชธานีลิสซิ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อรถบรรทุก เพื่อการพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 2549 โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้คิดเป็นเกือบ 70% ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทจัดว่าเป็นผู้นำตลาดในสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ อย่างไรก็ดี การพึ่งพิงสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นหลักทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในธุรกิจดังกล่าว ในปี 2560 สินเชื่อรวมของบริษัทเติบโต 18% อยู่ที่ระดับ 40,441 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ระดับ 43,007 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561

ปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปี 2559 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นจาก 2.8% ในปี 2559 เป็น 3.1% ในปี 2560 อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) สำหรับไตรมาสแรกของปี 2561 ทั้งนี้ กำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนทางการเงินลดลง รวมถึงบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองและการดำเนินงานได้

คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระมากกว่า 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 4.0% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 ปรับลดลงจาก 4.1% ในปี 2560 และ 4.4% ในปี 2559

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว