พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ
"ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า "กิจกรรมตัวอย่างที่จะนำพารายได้กระจายสู่ท้องถิ่น
"เศรษฐกิจระดับฐานราก" นั่นก็คือ โครงการ
"ไทยนิยมยั่งยืน" โดยมีโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศ–กฎหมาย–ข้อมูลขนาดใหญ่ เป็น
"ตัวเชื่อม" ในการบริหารจัดการ และมีกลไกประชารัฐเป็น
"ตัวขับเคลื่อน" ให้สอดคล้องกับในทุกระดับ ซึ่งผมขอยกตัวอย่างการดำเนินการใน 2 เรื่องสำคัญ 1.การแก้ปัญหาปากท้องโดยการลงพื้นที่ทุกหมู่บ้าน ชุมชน มีประชาชนกว่า 7 ล้านคน เข้าร่วม 97 เวทีประชาคม ซึ่งผลการวิเคราะห์โครงการของหมู่บ้านและชุมชน แห่งละ 200,000 บาท รวมทั้งสิ้น 88,400 โครงการ แบ่งการดำเนินการใน 3 ลักษณะ คือ (1) ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ประมาณ 68,000 โครงการ (77%) เช่น สร้างถนน, ศาลาประชาคม, หอกระจายเสียงเสียงตามสาย, ลานกีฬาสนามเด็กเล่น, เครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง, บ่อกำจัดสิ่งปฏิกูล, แนวกันไฟ เหล่านี้เป็นต้น (2) การสร้างอาชีพ สร้างรายได้
"ทางตรง" ราว 12,500 โครงการ (14%) เช่น การพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้าน-ชุมชน, ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม, การแพทย์แผนไทย, ลานตาก-โรงสี-ยุ้งฉาง ผลผลิตทางการเกษตร, การแปรรูป การถนอมอาหาร และเครื่องอบลดความชื้น, ผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP), หัตถกรรมผ้า เป็นต้น (3) การสร้างอาชีพ สร้างรายได้
"ทางอ้อม" เกือบ 8,000 โครงการ (9%) การพัฒนาแหล่งน้ำ เช่น ลานอเนกประสงค์, น้ำดื่ม น้ำใช้, แหล่งน้ำ, ห้องน้ำบริการสาธารณะ, สถานีสูบน้ำพลังแสงอาทิตย์, การปลูกป่า เป็นต้น
และ 2.การปฏิรูปภาคการเกษตรได้รับงบประมาณจากงบกลาง ราว 25,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในกิจกรรมโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับพืช–ปศุสัตว์–ประมง ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เพื่อเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และพัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้น คาดว่าจะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม คิดเป็นมูลค่ากว่า 63,000 ล้านบาท มีเกษตรกรได้ประโยชน์ 4.3 ล้านราย อาทิ การพัฒนาแหล่งน้ำชลประทานในการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 2.12 ล้านไร่ คิดเป็น 10,000 หมื่นล้านบาท
กิจกรรมเพิ่มศักยภาพการผลิตและการพัฒนาทักษะอาชีพ 24,000 ล้านบาท กิจกรรมการลดต้นทุนการผลิตด้วยการสนับสนุนเมล็ดพืชและสัตว์พันธุ์ดี กว่า 870 ล้านบาท กิจกรรมเสริมศักยภาพธุรกิจสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 245 ล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ การอบรมเสริมทักษะความรู้ต่าง ๆ ก็เหมือนกับการเรียนในห้องเรียน ที่มีทั้งภาควิชาการ ภาคปฏิบัติ และมีทั้งคนประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ แต่อยู่บนพื้นที่ความสมัครใจ การฝึกอบรมเหล่านี้ ผมถือว่า เป็นการให้โอกาสนะครับ กับพี่น้องประชาชน เป็นการสร้างความเข้มแข็ง ตามแนวทาง
"ศาสตร์พระราชา" คือ ไม่แจกปลา แต่จะให้เบ็ดแล้วสอนวิธีการหาปลานะครับ
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระจายรายได้ และสร้างงานในหมู่บ้านชุมชนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวธรรมชาติ ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์–เชิงวัฒนธรรม–เชิงกีฬา สิ่งที่ชาวชุมชนต้องร่วมมือกัน นอกเหนือจากความสะอาด ความปลอดภัย ความเป็นมิตรแล้ว การค้นหาเรื่องเล่า การสร้าง
"คนเล่าเรื่อง" ประวัติศาสตร์ ปรากฏการณ์ สิ่งที่น่าสนใจในแต่ละท้องถิ่น โดย
"ไกด์–มัคคุเทศก์" ที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษ–จีน และภาษาอื่น ๆ ไว้คอยบริการก็เป็นเสน่ห์นะครับ ดึงดูดใจผู้มาเยือนอีกด้วย โดยเฉพาะไกด์เยาวชน ก็จะเป็นการปลูกฝังสำนึกรักถิ่นฐานของตนอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้เกษียณ ที่ยังมีศักยภาพ สามารถได้รับการพัฒนาที่เหมาะสม ด้วยการใช้ประสบการณ์และศักยภาพที่มีให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเอง ช่วยแบ่งเบาภาระของลูกหลาน โดยเฉพาะเมื่อสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย รัฐบาลนี้ตระหนักดีนะครับ ให้ความสำคัญ หมายถึงคนในวัยทำงานจะมีภาระในการดูแลผู้สูงวัยที่จะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขาดแรงงานวัยวัยฉกรรจ์
[caption id="attachment_284882" align="aligncenter" width="503"]
© Pixabay[/caption]
ปัจจุบันนั้น รัฐบาลก็มีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อดูแลและสนับสนุนการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีแผนงานระยะยาว เพื่อดูแลสุขภาพและพัฒนาทักษะผู้สูงอายุโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนจัดหางานให้ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2560–2564 และแผนสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ขณะเดียวกันในด้านสวัสดิการ รัฐบาลมีการอุดหนุนเงินยังชีพของผู้สูงอายุ เดือนละ 600–1,000 บาท อย่างต่อเนื่อง และเพื่อดูแลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ที่ปัจจุบัน เรามีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน รัฐบาลได้เตรียมเดินหน้าผลักดันการเพิ่มเงินยังชีพผู้สูงอายุ ให้เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นรายละ 1,200 บาท ถึง 1,500 บาท อีกด้วยนะครับ อย่างไรก็ตามเราต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของงบประมาณไว้ด้วยนะครับ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาแรงงานผู้สูงอายุ ในกรณีที่ประสงค์จะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยได้ตั้งเป้าให้ผู้สูงอายุมีงานทำเพิ่ม 39,000 อัตรา โดยเฉพาะในชนบทผ่านวิสาหกิจชุมชน พร้อมมาตรการจูงใจให้องค์กรต่าง ๆ จ้างงานผู้สูงอายุ โดยสามารถนำรายจ่ายไปหักภาษีได้ถึง 2 เท่า รวมทั้งพยายามเพิ่มจำนวนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนมีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณด้วย ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเตรียมพร้อมในด้านที่พักอาศัยของผู้สูงอายุในหลายรูปแบบ เช่น โครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร ที่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไว้ในที่เดียวกัน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นการดูแลผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมในทุกมิติด้วย
[caption id="attachment_284883" align="aligncenter" width="503"]
© Matthias Zomer[/caption]
ทั้งหมดนี้ เป็นความตั้งใจจริงของรัฐบาล ที่จะสนับสนุนให้ประชากรกลุ่มนี้ ให้ยังเป็นกำลังสำคัญของชาติ และนำความสามารถ และประสบการณ์ที่สั่งสมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างมีศักดิ์ศรี ภูมิใจกับการยืนอยู่ในสังคมได้ด้วยตัวเองต่อไป จะเห็นว่าการปฏิรูปในภาพรวมของประเทศนี้ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ดิจิทัล กฎหมาย ข้อมูลขนาดใหญ่ จะเป็นส่วนสำคัญต่อการกระจายความเจริญและรายได้สู่ท้องถิ่น แต่อาจต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือกัน ต้องปรับตัว ปรับพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับกระแสของโลก และแนวทางการพัฒนาประเทศอยู่เสมอ"
……………….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
●
ปชช. กว่า 41 ℅ ยังไม่รู้ "ไทยนิยม ยั่งยืน" ทำอะไร
●
"อนุพงษ์" ระบุ "ไทยนิยมจบรอบ 3 แล้ว" อยู่ระหว่างพิจารณาอนุมัติโครงการ