สถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ ไอเอ็มดี จากสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศประจำปี 2561 ซึ่งสำรวจและจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทั้งหมด 63ประเทศทั่วโลก ผลปรากฎว่าอันดับความสามารถการแข่งขันของไทยลดลง 3 อันดับจาก 27 เป็น 30 ขณะที่สิงคโปร์มีอันดับคงที่ ที่อันดับ 3 มาเลเซียอันดับขยับดีขึ้นจาก 24 เป็นอันดับที่ 22 อินโดนีเซียลดลงจากอันดับที่ 42 เป็น 43 และฟิลิปปินส์ลดลงจากอันดับที่ 41 เป็น 50
การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ ไอเอ็มดี ใช้ตัวชี้วัด 4 ด้านได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยผลการจัดอันดับดีขึ้น 1 ด้าน เท่าเดิม 2 ด้าน และลดลง 1 ด้าน โดยด้านที่ดีขึ้นได้แก่โครงสร้างพื้นฐาน ในขณะที่ด้านสภาวะเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจคงเดิม ส่วนด้านประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับลดลง
ความสามารถในการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้นนั้น ไม่ได้หมายความว่าการเดินหน้าผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่นั้นเดินมาถูกทาง แต่เป็นเพราะการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศที่มีอันดับดีขึ้น เพราะถ้าดูในรายละเอียดจะพบว่าดัชนีชี้วัดด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ไอเอ็มดีนำมาใช้จะประกอบด้วย 5 ปัจจัยย่อยที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ ได้แก่ ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี สุขภาพและสิ่งแวดล้อม และการศึกษา
ในทางกลับกันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จำนวนมาก ได้ทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านประสิทธิภาพภาครัฐลดลง โดยไอเอ็มดีมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณ อันเนื่องมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เปรียบเหมือนดาบสองคม เพราะจะมีผลบวกต่อเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว แต่ในทางกลับกันก็ส่งผลกระทบต่อภาระทางการคลัง และหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลนับจากนี้จะต้องคำนึงวินัยทางการเงินการคลังมากขึ้น
บทบรรณาธิการฐานเศรษฐกิจ| ฉบับ 3369 ระหว่างวันที่ 27-30 พ.ค.2561