สมคิดพอใจเบิกงบรัฐกว่า90% กำชับครึ่งปีแรกเซ็นสัญญาเมกะโปรเจ็กต์ให้เสร็จ

28 ม.ค. 2559 | 04:00 น.
รองนายกฯสมคิด พอใจการเบิกจ่ายหลังคืบหน้ากว่า 90% สั่งขุนคลัง สแกนงบโครงการ ตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปเพิ่ม กำชับเมกะโปรเจ็กต์รัฐ ต้องเร่งเซ็นสัญญาให้แล้วเสร็จในครึ่งปีแรก หวังดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ย้ำเดินตามแผนงบประมาณดีกว่ามาปั้นจีดีพี จับตา 4 ก.พ.ขุนคลัง-คมนาคม เจรจารถไฟไทย-จีน ลั่นต้องได้ข้อสรุป

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2559 ว่า ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐในโครงการต่างๆ โดยภาพรวมมีความคืบหน้าพอสมควร โดยพยายามเร่งรัดการทำสัญญาให้ได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ และจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ เพื่อให้เงินได้ไหลเข้าสู่ระบบโดยเร็ว โดยคาดว่าโครงการขนาดใหญ่ทั้งหมดจะได้เห็นอย่างแน่นอนในปีนี้ ทั้งนี้เงินจากการลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง

ส่วนโครงการอื่นของกระทรวงมหาดไทยจะเร่งให้สามารถดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2 ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนได้รับการตอบรับอย่างดี แต่ยังไม่อยากให้น้ำหนักในเรื่องตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี แต่จะเดินหน้าเร่งรัดการลงทุนในทุกๆโครงการให้เป็นตามแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งจากภายในประเทศและเตรียมตัวกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ไตรมาสมาส 1/2559 ที่ผ่านมามีเม็ดเงินจากโครงการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ตำบลละ 5 ล้านบาทไหลเข้าสู่ระบบ คิดเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทแล้ว

นายสมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่าในส่วนของโครงการ ลงทุนขนาดใหญ่ขนาดนี้รัฐบาลได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วซึ่งประเมินว่าในช่วงไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 2 จะต้องมีการเร่งทำสัญญาหรือทีโออาร์ ให้แล้วเสร็จ โดยเฉพาะมอเตอร์เวย์ สนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ทั้งนี้ ได้กำชับให้เร่งดำเนินการ พร้อมทั้งสั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกด้วย โดยระยะถัดไปจะมีการส่งเสริมรวมถึงผลักดันเม็ดเงินสำหรับโครงการที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทให้เบิกจ่ายได้เร็วขึ้นซึ่งได้เสนอให้สำนักงบประมาณเข้าไปดูในส่วนของมาตรการ รวมถึงกระบวนการว่าจะต้องมีการเพิ่มหรือปรับในส่วนใดเพื่อทำให้การเบิกจ่ายในส่วนของโครงการนี้คืบหน้าไปได้ตามแผน

ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในส่วนของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐส่วนใหญ่เป็นของกระทรวงคมนาคม ทั้ง ทางหลวง รถไฟรางคู่ โครงการพัฒนาท่ากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 และท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะทำให้มีงบการลงทุนในปีนี้ กว่า 9 แสนล้านบาท และสามารถเบิกงบประมาณได้แล้ว 6.68 หมื่นล้านบาท

สำหรับแผนการลงทุนของภาคเอกชนที่ทำผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ผลตอบรับมาตรการที่กระทรวงการคลังให้สามารถนำรายจ่ายด้านการลงทุนนำมาหักภาษีได้ถึง 2 เท่านั้น เชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆจะทำให้เกิดการลงทุนได้ชัดเจนในปี 2559 โดยมีวงเงินการลงทุนภายใต้การส่งเสริมบีโอไอไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท เพิ่มจากยอดการลงทุนในกรอบภาวะปกติปีละ 5 แสนล้านบาท ส่งผลให้ปี 2559 จะมีเม็ดเงินที่มาจากการลงทุนจากภาคเอกชนรวมกันไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

ส่วนการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณได้มีการเบิกจ่ายค่อนข้างดี โดยโครงการขนาดเล็ก 1 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้วกว่า 90% ทั้งนี้จากรายงานกระทรวงคมนาคมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่จะมีงบลงทุนที่จะเซ็นสัญญาในปีนี้กว่า 9 แสนล้านบาทแต่จะมีงบลงทุนที่จะเบิกจ่ายจริงๆประมาณ 6.68 หมื่นล้านบาทจากโครงการรถไฟรางคู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยไม่รวมโครงการลงทุนขนาดเล็กไอซีทีอีกประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

"จะเห็นได้ว่ามาตรการทั้งหมดดำเนินการเป็นอย่างดีและเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ส่วนโครงการที่ยังล่าช้า รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้เร่งดำเนินการ พร้อมทั้งสั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกด้วย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวและว่า นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีสมคิด ได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางไปประเทศจีน ในวันพฤหัสบดี ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เพื่อเร่งรัดและติดตามแผนการลงทุนโครงการลงทุนรถไฟไทย-จีน เส้นทางหนองคาย กรุงเทพฯ ให้แล้วเสร็จและเกิดการก่อสร้างโดยเร็วตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ พร้อมยืนยันว่า ในส่วนของโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้วจะเป็นไปตามกรอบที่วางไว้อยู่เดิมและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,126 วันที่ 28 - 30 มกราคม พ.ศ. 2559