สถานการณ์การเมืองมาเลเซีย ในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติลักษณะที่คล้ายคลึงกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง สาเหตุก็มาจากการที่รัฐบาลพรรคอัมโนที่ปกครองมาเลเซียมาร่วม 60 ปี ที่มีนายราจิบ ราซัค เป็นหัวหน้าพรรคและเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นสู่อำนาจจากนายมหาธีร์ อดีตผู้นำ มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต ใช้อำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะการทุจริตและการถูกกล่าวหาการยักยอกเงินจากกองทุนพัฒนาประเทศ กรณี 1MDB ซึ่งถือเป็นกรณีทุจริตที่ฉาวโฉ่ที่กระฉ่อนไปทั่วโลก มีมูลค่าความเสียหายนับแสนล้านบาท
เมื่อถูกเปิดโปงเรียกร้องให้ดำเนินการกับผู้กระทำความผิด นายราจิบ ก็มีการปกปิดการกระทำความผิด ใช้อำนาจเข้าแทรกความเป็นอิสระของสถาบันตุลาการ รัฐสภา และสำนักงานอัยการสูงสุด และสถาบันอิสระอื่น ๆ ทำทุกวิถีทางให้ตนเองและพวกพ้อง ญาติพี่น้อง พ้นความผิด ใครหรือหน่วยงานใดที่คิดจะตรวจสอบเรื่องนี้ ล้วนถูกอำนาจเบ็ดเสร็จของนายราจิบจัดการ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลระดับใด จนเกิดกระแสการต่อต้านจากประชาชนมาเลเซียอย่างกว้างขวาง มีการเดินขบวนขับไล่รัฐบาลนายราจิบครั้งใหญ่ มีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก
[caption id="attachment_281623" align="aligncenter" width="503"]
ชาวมาเลเซียสวมใส่ ‘เสื้อเหลือง’ ชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ ขับไล่นายกฯ นาจิบ ราซัค[/caption]
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็สร้างกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนตน ให้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองเช่นกัน ทำให้เกิดการแบ่งฝ่ายเป็นมวลชนเป็นฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง จนกลายเป็นวิกฤติการเมืองเช่นเดียวกับประเทศไทย เพียงแต่ยังไม่มีกองทัพหรือ ทหารเข้ามาทำการรัฐประหารเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะมีบริบทางการเมืองที่แตกต่างกัน คือยังไม่มีการใช้ความรุนแรงด้วยระเบิด อาวุธร้ายแรงหรือกองกำลังติดอาวุธอันธพาลการเมือง เข้าทำร้ายมวลชนเหมือนบ้านเรา
บทเรียนที่น่าศึกษาอย่างยิ่งคือ การที่ประชาชนมาเลเซียจัดการกับผู้นำที่ฉ้อฉล ทุจริต ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างไร นี่คือสิ่งที่น่าสนใจศึกษาเป็นบทเรียนอย่างยิ่งเมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ชาวมาเลเซียจึงขอให้มหาธีร์ รัฐบุรุษของคนมาเลเซีย วัย 92 ปี ที่วางมือทางการเมืองไปนานหลายปีแล้วให้ออกมากอบกู้บ้านเมือง แต่ที่สำคัญและยิ่งใหญ่เป็นที่น่าชื่นชมก็คือ การที่ 'มหาธีร์' ยอมออกมาร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชน และหันไปจับมือเป็นพันธมิตรกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม ทั้งที่เป็นคู่แค้นทางการเมือง
[caption id="attachment_281628" align="aligncenter" width="503"]
อันวาร์ อิบราฮิม[/caption]
โดยเป็นที่รู้โดยทั่วไปว่า มหาธีร์เคยเล่นงานนายอันวาร์ แทบเอาชีวิตไม่รอด จนหลุดพ้นจากตำแหน่งทางการเมือง และถูกดำเนินคดีต้องติดคุกติดตะราง แทบหมดสิ้นอนาคตทางการเมือง แต่เพื่ออนาคตของประเทศชาติ และเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง ทั้งสองคนก็ลืมอดีตลืมบาดแผลในใจ หันมาจับมือกันเพื่ออนาคตของประเทศชาติ
นี่จึงเป็นกรณีตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่การเมืองไทยควรจะได้ศึกษาเป็นแบบอย่าง เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียเกิดขึ้น เป็นโอกาสสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง แก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมือง การรวมกันของผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองทั้งสอง เป็นพันธมิตรพรรคฝ่ายค้านปากาตัน ฮาราปัน ที่นำโดยมหาธีร์ อดีตผู้นำมาเลเซีย จึงเกิดขึ้นในการเลือกตั้งแม้จะถูกนายราจิบ ที่กุมอำนาจรัฐ วางแผนและกลเกมต่าง ๆ เพื่อเอาเปรียบในทางการเมืองทุกวิถีทางเพียงใด
[caption id="attachment_281642" align="aligncenter" width="503"]
มหาธีร์ โมฮัมเหม็ด[/caption]
พันธมิตรฝ่ายค้านก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรค และสร้างกระแสนิยม ปลุกคนมาเลเซียให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ล้างอำนาจอันไม่ชอบธรรมของนายราจิบ ด้วยการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง จนสามารถเอาชนะพรรครัฐบาลหรือพรรคอัมโน ได้อย่างช็อคโลก เหนือความคาดหมาย ด้วยประชามติมหาชนชาวมาเลเซีย ทำให้ฝ่ายค้านได้คะแนนเสียงจำนวน สส.ถึง 113 ที่นัง ครองเสียงข้างมากจากรัฐบาลกลางจำนวน 222 ที่นั่ง ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาล สร้างประวัติศาสตร์การเมืองของมาเลเซีย และทำให้มหาธีร์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวัย 92 ปี เป็นนายกฯ ที่อายุมากที่สุดในโลก เป็นตำนานและบทเรียนให้ชาวไทย และชาวโลกได้ศึกษาจดจำไปอีกนาน
การเมืองการเลือกตั้งในมาเลเซีย มิได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในมาเลเซียเท่านั้น ย่อมส่งผลสะเทือนถึงการเมือง การเลือกตั้งของไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชัยชนะของมหาธีร์ จึงเป็นชัยชนะของธรรมะ เป็นชัยชนะของการเมืองที่ยึดเอาความถูกต้อง ผลประโยชน์แห่งชาตินำหน้า เป็นชัยชนะแห่งพลังความสามัคคีของประชาชน บนพื้นฐานของความปรองดองเพื่อชาติโดยแท้จริง
เมื่อหันมามองการเมืองในประเทศชาติของเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยต้องคิดหาทางออกให้บ้านเมืองของเรา และศึกษาบทเรียนการเลือกตั้งของมาเลเซียเป็นอุทธาหรณ์ หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้ศึกษาและนำกรณีดังกล่าวมาเป็นบทเรียนสำคัญ เพราะการเมือง การเลือกตั้งของมาเลเซียย่อมส่งผลสะเทือนถึงไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากคิดจะเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางการเมือง อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากขาดความชอบธรรม และใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้องโดยทุจริต ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนแล้ว อำนาจจะยิ่งใหญ่เข้มแข็งเพียงใด ก็ล้มครืนลงได้ด้วยพลังของมหาชน
กรณีเลือกตั้งในมาเลเซียจึงเป็นอุธาหรณ์ที่สำคัญยิ่ง ผู้นำการเมืองที่ดี จำเป็นจะต้องสามัคคีกับประชาชนทุกๆพลัง ทุกกลุ่ม ทุกเชื้อชาติในประเทศชาติของตน เพื่อให้มาร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศ ล้างการเมืองในระบบเก่าที่ทุจริตและสร้างความเสียหายแก่บ้านเมืองให้หมดสิ้นด้วยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ไม่เห็นแก่พวกพ้องหรือไม่ยอมเอาผลประโยชน์ประเทศชาติไปตอบแทนบุญคุณใคร
สถานการณ์บ้านเมืองยามนี้ ผู้นำประเทศต้องเลิกจับประชาชนไว้เพียงเป็นตัวประกัน ไม่ควรอาศัยโอกาสเพียงแค่ถ้าประชาชนไม่ต้องการทักษิณ กลัวทักษิณกลับมามีอำนาจ ต้องจำยอมอยู่กับระบอบการเมืองแบบทหาร อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ โดยมิได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปบ้านเมืองให้ดีขึ้น
หรือยังย้ำตามรอยของการเมืองเดิม ๆ หากไม่เก็บรับบทเรียนและไม่คิดเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเยี่ยงผู้นำประเทศ อย่างรัฐบุรุษของชาติแล้ว คสช.หรือท่านนายกฯในฐานะผู้นำประเทศ อาจเจอกับสึนามิทางการเมืองแบบเดียวกับการเมืองในมาเลเซีย ก็เป็นได้ ซึ่งหากบ้านเมืองข้างหน้า ในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เดินตามรอยอย่างมาเลเซีย ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเวลาและโอกาส อย่างยากที่จะแก้ไขได้ครับ
...................
คอลัมน์: ข้าพระบาททาสประชาชน | โดย...ประพันธุ์ คูณมี | หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3366 ระหว่างวันที่ 17 -19 พ.ค.2561|