ผลผลิตกาแฟอินโดนีเซียลดฮวบเจอเอลนิโญ

28 ม.ค. 2559 | 11:00 น.
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่าปรากฏการณ์เอลนิโญ ครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 20 ปีทำให้ผลผลิตกาแฟของประเทศอินโดนีเซียผู้ส่งออกกาแฟโรบัสต้าอันดับ 3 ของโลกลดลง 20 %

รายงานข่าวระบุว่าผลผลิตเมล็ดกาแฟในฤดูใหม่อาจอยู่ที่ 560,000 ตัน ลดลงจากที่เก็บเกี่ยวได้ 700,000 ตันในฤดูการผลิตล่าสุด ตามการประเมินของพ่อค้าและนักวิเคราะห์ 6 ราย

กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริการะบุว่า ตัวเลขการผลิตตามการประเมินนี้ เป็นยอดการผลิตที่มีระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ฤดูการผลิต 2539-2540

บลูมเบิร์ก ระบุว่ายอดการผลิตที่ลดลงของอินโดนีเซียจะทำให้ เกิดการขาดแคลนเมล็ดกาแฟในตลาดโลกที่บริษัทต่าง ๆ รวมทั้งเนสท์เล่ ซื้อไปผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป และทำให้ราคากาแฟที่ลดลง 20 % ในปีที่แล้วปรับตัวสูงขึ้นโดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟตกต่ำเกิดจากปรากฏการณ์เอลนิโญ ที่ทำให้เกิดความแห้งแล้งหนักในไตรมาสที่ 4 ที่ประเทศอินโดนีเซียและทำให้ ผลผลิตโกโก้ในประเทศไอเวอรี่โคสต์ลดลง

นายคาร์ลอส มีรา อาร์เซโน นักวิเคราะห์ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารราโบแบงก์ที่ลอนดอน ให้สัมภาษณ์ผ่านอี-เมล์ว่า “เราคิดว่าราคาเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 1,580 ดอลลาร์ต่อตัน ในช่วงกลางปี 2559นี้ เนื่องจากผลผลิตโรบัสต้าของบราซิลลดลงด้วย”

นายอาร์เซโน ระบุว่า ผลผลิตกาแฟของอินโดนีเซียจะลดลงอย่างต่ำ 20 % และอาจจะลดลงมากกว่านั้น ขณะที่บริษัท Volcafe ผู้ค้ากาแฟจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ระบุว่า ปีที่แล้วกาแฟโรบัสต้าล้นตลาด แต่ฤดูการผลิต 2558-9 ซึ่งจะเริ่มในเดือนตุลาคมนี้ จะขาดตลาด

นายฮูตามา สุกานธี ผู้อำนวยการสมาคมผู้ส่งออกกาแฟอินโดนีเซียให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์กว่า กาแฟที่ปลูกบนที่สูง มากๆ ไม่มีปัญหา ที่โดนกระทบหนักคือกาแฟที่ปลูกในพื้นที่ราบของเกาะสุมาตราและเกาะชวา รวมทั้งพื้นที่ในแถบจังหวัดลัมปุงด้วย

บลูมเบิร์กระบุว่า จังหวัดลัมปุงและจังหวัดเบงกูลู และพื้นที่ตอนใต้ของเกาะสุมาตราเป็นแหล่งปลูกกาแฟโรบัสต้าสำคัญของอินโดนีเซียมีสัดส่วนการผลิตถึง 75 % ของผลผลิตทั้งประเทศ ขณะที่กาแฟอาราบริก้า ปลูกกันมากในแถบภาคเหนือของเกาะสุมาตราและเกาะชวามีสัดส่วนประมาณ 16% ของผลผลิตกาแฟทั้งหมด

พ่อค้ากาแฟในอินโดนีเซียให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์ก ว่า ผลผลิตกาแฟโรบัสต้า ที่ลดลงครั้งนี้อาจจะทำให้อินโดนีเซียจะต้องนำเข้าเพิ่มจาก 40,000 ตันในปีที่แล้วเป็น 60,000-90,000 ตัน ในปีนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,126 วันที่ 28 - 30 มกราคม พ.ศ. 2559