การเลือกตั้งของมาเลเซียเมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ผลออกมาแล้วว่าชัยชนะตกเป็นของดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด วัย 92 ปี แกนนำแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน 'ปากาตัน ฮาราปัน' (Pakatan Harapan - PH) หรือ 'แนวร่วมแห่งความหวัง' โดยข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมาเลเซียชี้ว่า ปากาตัน ฮาราปัน กวาดที่นั่งในรัฐสภาอย่างน้อย 112 ที่นั่งจากทั้งหมด 222 ที่นั่งซึ่งเกินครึ่ง จึงถือเป็นการโค่นอำนาจของนายนาจิบ ราซัค แห่งพรรคอัมโน (United Malays National Organisation - UMNO) ที่เป็นแกนนำรัฐบาลและครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาถึง 6 ปีก่อนหน้านี้อย่างราบคาบ อีกทั้งยังเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทางการเมืองให้กับมาเลเซีย นั่นคือความพ่ายแพ้ของพรรคอัมโนที่ทรงอิทธิพลและครองตำแหน่งพรรคแกนนำรัฐบาลของมาเลเซียมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 6 ทศวรรษ
สำหรับนโยบายหลักของกลุ่มแนวร่วมปากาตัน ฮาราปัน คือการเสนอนโยบายยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่ม นโยบายสร้างความเป็นอิสระให้กับสถาบันตุลาการ รัฐสภา สำนักอัยการสูงสุดและสถาบันอิสระอื่น ๆ และที่สำคัญคือ คำมั่นสัญญาที่มีให้กับประชาชนว่า หากได้รับชัยชนะจะให้มีการตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบกรณีคอรัปชั่นกองทุน 1MDB ถือเป็นการเช็คบิลนายนาจิบ ราซัค อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่สุด อย่างไรก็ตาม ดร. มหาเธร์ เคยกล่าวไว้ช่วงการหาเสียงเลือกตั้งว่า เขาจะอยู่ในตำแหน่งเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อนายอันวาร์ อิบราฮิม ที่ปัจจุบันกลับมาเป็นพันธมิตรจับมือกันอีกครั้ง ได้รับการพระราชทานอภัยโทษและสามารถกลับเข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง เขาก็จะสนับสนุนให้นายอันวาร์ขึ้นมารับตำแหน่งแทนอย่างเร็วที่สุด
อีกหนึ่งคำมั่นสัญญาของดร.มหาเธร์คือ นโยบายสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มชาวมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือกลุ่ม ภูมิบุตร ว่าสิทธิที่พวกเขาเคยได้รับจะไม่ถูกลิดรอน เพราะคนกลุ่มนี้คือประชากรส่วนใหญ่ หรือคิดเป็น 68.8% ของประชากรทั้งประเทศ (28.7 ล้านคน)
ทั้งนี้ จุดอ่อนที่นำความพ่ายแพ้มาสู่นายนาจิบ ราซัค คือ วิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตศรัทธา โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นจากมาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และกรณีทุจริตเงินกองทุนของบริษัทเพื่อการลงทุน 1MDB Development Berhad (1MDB) ของรัฐบาล ที่แม้นายนาจิบจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐบาลเองก็ล่าช้าและมีเงื่อนงำ ขณะที่การตรวจสอบของหน่วยงานต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา กลับพบว่ามีการยักย้ายผ่องถ่ายทรัพย์สินของกองทุน 1MDB ไปซุกซ่อนไว้ในประเทศต่าง ๆ โดยเงินราว 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ล่องหนไปจากบัญชีของกองทุนอย่างที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า ชัยชนะของดร.มหาเธร์ อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจมาเลเซีย เพราะจากนโยบายหาเสียงที่ระบุไว้ว่า หากพรรคแนวร่วมที่เขาเป็นแกนนำได้รับชัยชนะ ก็จะยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากสินค้าและบริการ (goods-and-services tax: GST) ภายใน 100 วันหลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นหมายความว่าฐานรายได้ของภาครัฐจะลดลงและทำให้สถานะความน่าเชื่อถือทางการเงินของมาเลเซียติดลบ
