เทรดวอตช์ | Made in China 2025 … เหตุแห่งสงครามการค้า

01 พ.ค. 2561 | 11:48 น.
010561-1836

Made in China 2025
เป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ประกาศในปี 2015 ที่กำหนดให้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงมากกว่า 10 ชนิด โดยต้องให้มีส่วนประกอบสินค้าจากเทคโนโลยีของจีนเองมากกว่า 70% ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากอเมริกาหรือยุโรป นอกจากนี้ จีนยังต้องการเป็นผู้นำตลาดในสินค้ากว่า 10 ชนิดนี้ ได้แก่ หุ่นยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไร้คนขับ เทคโนโลยีชีวภาพ (ยา) อากาศยาน เทคโนโลยีการขนส่ง เทคโนโลยีอุปกรณ์รางรถไฟ เทคโนโลยีชีวภาพผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และลม เทคโนโลยีเครื่องจักรเพื่อการเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI (Artificial Intelligence) ภายใต้โครงการจีนกำหนดว่า สินค้าจีนจะครองตลาดโลกด้วยการเป็นสินค้าเทคโนโลยีสูง มีมาตรฐานคุณภาพสูง มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในปี 2016 และ 2017 จีนใช้จ่ายงบประมาณสำหรับงานวิจัยและพัฒนาไปแล้ว เฉลี่ยปีละ 2.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

บริษัทอเมริกันต่างเห็นว่า โครงการ Made in China 2025 ของจีนนี้ เป็นโครงการที่จะทำให้ธุรกิจอเมริกันในอนาคตแข่งขันได้ยาก หรือ แข่งขันไม่ได้ เหตุเพราะหากจีนมีนวัตกรรมในสินค้าเหล่านี้ของตนเอง บริษัทเทคโนโลยีของจีน เนื่องจากได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลจีนในทุก ๆ ด้าน ด้านการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง ด้านการตลาด ปัจจุบัน สินค้าที่จีนขายภายใต้แบรนด์ตนเอง ล้วนต้องพึ่งพาชิ้นส่วนผลิตโดยบริษัทสหรัฐฯ ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศลงโทษบริษัทจีนในสหรัฐฯ ชื่อ ZTE ห้ามไม่ให้ซื้อสินค้าจากบริษัทในสหรัฐฯ เป็นเวลา 7 ปี ZTE เป็นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่และระบบโทรคมนาคมสัญชาติจีน เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน รองจาก Huawei และเป็นผู้รับจ้างผลิตเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน 10% ในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่ Huawei ถูกห้ามขายแล้วในสหรัฐฯ


blade-v9-image-1_preview

ZTE กำลังเป็นผู้นำในการพัฒนาโทรศัพท์ 5G ของจีน การผลิตสินค้าของบริษัทนี้ต้องซื้อ Chips จาก Qualcomm และ Micron Technology วัสดุกระจกเลนส์จาก Lumentum Holdings INC., Corning and Acacia Communications และต้องซื้อ Android Operating System จาก Google การประกาศดังกล่าวส่งผลให้บริษัท ZTE ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ทำให้เห็นได้ว่า บริษัทจีนส่วนใหญ่อย่าง Huawei, BATX (Baidu, Alibaba, Tencent, Xiaomi), Didi (China’s Uber) ล้วนต้องพึ่งสินค้าเทคโนโลยีจากบริษัท อย่าง Apple, 3M, AMD, Applied Materials, Cisco, Corning, Google, Intel, Micron, Microsoft, Qualcomm, Seagate หรือ Western Digital ทั้งสิ้น มิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถประกอบกิจการได้ เรื่องนี้มีผลกระทบต่อความพยายามของจีนในโครงการ Made in China 2025 อย่างยิ่ง ทำให้จีนตอบโต้ทันทีด้วยการประกาศเพิ่มภาษีสินค้าข้าวฟ่างจากสหรัฐฯ 178.6% ซึ่งจีนนำเข้าปี 2017 มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ เพื่อทำลายฐานคะแนนเสียงพรรครีพับลิกันของทรัมป์ในรัฐแคนซัส


010561-1829

ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ขึ้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์ 30% เครื่องซักผ้า 20% เหล็ก 25% อะลูมิเนียม 10% และยังมีรายการสินค้าจีนอีก 1,300 รายการ ที่จะขึ้นภาษี 25% หลังการทำประชาพิจารณ์แล้วเสร็จในเดือน พ.ค. จีนก็ได้เตรียมตอบโต้โดยการประกาศรายการสินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มภาษี โดยเลือกสินค้าที่จะทำให้ฐานเสียงเลือกตั้งของพรรครีพับลิกันต้องเดือดร้อน เช่น ถั่วเหลือง รัฐที่จะได้รับผลกระทบ เช่น ไอโอวา มิสซูรี โอไฮโอ หลุยเซียนา และอินเดียนา ส้มจากฟลอริดา ข้าวโพดจากไอโอวา รถยนต์จากมิชิแกน โสมจากวิสคอนซิน และสินค้าอื่น ๆ จากโอเรกอน อลาสกา เซาธ์แคโรไลนา วอชิงตัน อลาบามา เท็กซัส สถาบัน Brookings Institute ระบุว่า รายการสินค้าที่จีนจะขึ้นภาษีนำเข้าจะทำให้คนอเมริกันอย่างน้อย 2.1 ล้านคน ตกงาน สินค้าอุปโภคบริโภคในสหรัฐฯ จะมีราคาแพงขึ้น ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ อันจะทำให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นมากขึ้นอีกด้วย เฟดยังทำนายว่า จีดีพีสหรัฐฯ จะลดลง 0.25% ทั้งหมดนี้ อาจทำให้พรรครีพับลิกันสูญเสียความเป็นเสียงข้างมากในสภาสูงในการเลือกตั้งที่จะจัดให้มีขึ้นวันที่ 6 พ.ย. ปีนี้ และหากพรรคเดโมแครตได้เสียงข้างมาก ทรัมป์จะทำงานยาก และก็อาจจะถูกถอดถอนออกจากการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนี้ จีนยังสามารถทำให้ธุรกิจสหรัฐฯ ในจีนที่มีอยู่ในปัจจุบันมีปัญหา ทำให้บริษัทอย่าง Apple, Disney, Nike, GM, etc. ทำธุรกิจยากขึ้น จากสถิติพบว่า บริษัทอเมริกันได้ลงทุนในจีนตั้งแต่ปี 1990 ถึงปัจจุบันรวมแล้วมีมูลค่ามากถึง 2.56 แสนล้านดอลลาร์


TP10-3315-2A

ความมุ่งหวังของสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ ได้แก่ สหรัฐฯ ต้องการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน รักษาให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อยู่รอดจาก Made in China 2025 ชะลอความร่ำรวยของจีน ที่ใช้เงินแผ่อิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อสหรัฐฯ ดำรงความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลก และสหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับจีน สหรัฐฯ ได้เสนอให้จีนแก้ไขกฎหมายการลงทุน เป็นเงื่อนไขในการเจรจายุติสงครามทางการค้าที่กำลังมีกับจีน เช่น ยอมให้บริษัทผลิตสินค้าเทคโนโลยีในจีน รายการสินค้าที่มีอยู่ใน Made in China 2025 ไม่ต้องมีผู้ถือหุ้นจีน 50% เพื่อป้องกันไม่ให้จีนเอาเทคโนโลยีและความลับทางการค้าไป แต่จีนได้ปฏิเสธประเด็นที่สหรัฐฯ ไม่พอใจ คือ จีนเอาเทคโนโลยีไปจากบริษัทอเมริกันด้วย การบังคับให้บริษัทต่างชาติที่ลงทุนผลิตในจีนต้องมีหุ้นส่วนจีนอย่างน้อย 50% การร่วมหุ้นทำให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีและบริษัทจีนเข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ทำให้ได้เทคโนโลยีและส่งไปให้บริษัทผลิตสินค้าในจีน สหรัฐฯ ยังกล่าวหาว่า จีนได้มีพฤติกรรมล้วงความลับทางการค้าและขโมยของเทคโนโลยี ด้วยการเจาะเข้าไปเครือข่ายสารสนเทศของบริษัทอเมริกัน

ทรัมป์ไม่พร้อมทำสงครามการค้าจีน เพราะหากพรรครีพับลิกันแพ้เลือกตั้งปลายปีนี้  ตัวเองอาจหลุดจากตำแหน่งประธานาธิบดีจีนส่งออกไปสหรัฐฯ มากถึง 4.25% GDP จีนได้ยอมอ่อนข้อโดยได้ประกาศเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ให้ต่างชาติถือหุ้นในกิจการธนาคารได้มากขึ้นเป็น 30% จากเดิม 20% ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์และการลงทุน ธุรกิจประกันให้ถือหุ้นได้ 100% ใน 3 ปี จาก 2019 นอกจากนี้ โรงงานต่างชาติผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสามารถถือครองหุ้นได้ 100% ตั้งแต่ปี 2019 ส่วนโรงงานรถยนต์เครื่องยนต์สามารถถือครองหุ้นได้ 100% ปี 2020 และรถบรรทุก ปี 2022 นอกจากนี้ การเจรจาที่กำลังจะมีในเร็ว ๆ นี้ จีนพร้อมจะเสนอซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ลง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จึงไม่น่าเกิดขึ้น การส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบหากเกิดสงครามการค้า โดยเฉพาะสินค้ากึ่งสำเร็จรูปในห่วงโซ่อุปทานที่ไทยส่งออกไปจีน เพื่อประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูป


……………….
คอลัมน์ : เทรดวอตช์ โดย บัณฑูร วงศ์สีลโชติ ผู้เชี่ยวชาญการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าฯ
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,361 วันที่ 29 เม.ย. - 2 พ.ค. 2561 หน้า 08

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
หอการค้าชี้สงครามการค้าจีน-สหรัฐหวังรักษาตำแหน่งผู้นำโลก
มกค.ชี้สงครามการค้าสหรัฐ-จีนไทยได้อานิสงส์ส่งออกเพิ่ม2 หมื่นล.


e-book-1-503x62