เมอร์เซเดส-เบนซ์เตรียมเปิด20รุ่นปี59

27 ม.ค. 2559 | 07:00 น.
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฟุ้งยอดขายปี 58 ทะลุ 1.2 หมื่นคันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมเดินหน้ารุกต่อด้วยการส่งรถใหม่อีก 20 รุ่นลุยตลาดปีนี้

นายไมเคิล เกร่เว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากนโยบายการตลาดเชิงรุกในปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้จำนวน 12,776 คัน เพิ่มขึ้นกว่า12.78% เมื่อเทียบกับปี 2557 โดยตัวเลขดังกล่าวถือเป็นสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์และทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นผู้นำอันดับ 1 ของตลาดรถหรูในไทย

ขณะที่แผนงานเชิงรุกในปี 2559 บริษัทเตรียมรถรุ่นใหม่ 20 รุ่นที่จะเปิดตัว อาทิ The S 500 e ,The C 350 e ซึ่งทั้ง2 รุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดและเพิ่งจะทำการเปิดตัวต่อสื่อมวลชนหลังจากนั้นจะเปิดตัว ซีคลาส คูเป้ เอ 45 เอเอ็มจี เฟซลิฟท์ อีคลาส ใหม่ ,จีแอลเอส เฟซลิฟท์ เอสแอล เฟซลิฟท์ รวมทั้ง เอส คลาส คาบริโอเลต์ สำหรับรถ 2 รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุดคือ The S 500 e ,The C 350 e ถือเป็นรถเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด โดยThe S 500 e เป็นรถซีดานระดับพรีเมียม ที่มีทั้งความหรูหราและเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด โดยรถรุ่นนี้มีอัตราการปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 62 กรัม/กิโลเมตร สนนราคาเริ่มต้นที่ 6.390 ล้านบาท และอีก 1 รุ่น The C 350 e รถรุ่นที่ 2 ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ใช้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด มีให้เลือกทั้งแบบซีดานและเอสเตท พร้อมอัตราการปล่อย CO2 เพียง 58 กรัม/กิโลเมตรในรุ่นซีดาน และ 54 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นเอสเตท สนนราคาเริ่มต้นที่ 2.99 ล้านบาท

"เรายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอรถรุ่นใหม่ๆที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ดังจะเห็นจากแผนการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ตั้งแต่ต้นปี โดยเรามีการสร้างสีสันด้วยการนำรถยนต์เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด 2 รุ่นใหม่เข้ามาเปิด นอกเหนือจาก 2 รุ่นนี้แล้วเรายังเตรียมที่จะเปิดรุ่นใหม่อีกกว่า 20 รุ่น ซึ่งคาดว่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคัก และช่วยทำให้ยอดขายของเราในปีนี้มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง"

นายมาร์ทิน ชูลซ์ รองประธานบริหาร ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ในรุ่นใหม่มีความโดดเด่น เริ่มตั้งแต่The S 500 e ถือเป็นรถซีดานระดับพรีเมียม มีให้เลือก 2 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Exclusive และ AMG Premium มีจุดเด่นคือ การปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 62 กรัม/กิโลเมตร นอกจากนั้นแล้วยังเป็นรถยนต์หรูที่ใช้เครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตรรุ่นแรกของโลกที่ผ่านการรับรองว่าเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังเป็นรถไฮบริดรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่นำระบบสำรองพลังงานจากการเหยียบแป้นเบรกมาใช้

โดย The S 500 e สามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ 4 แบบ คือHYBRID ที่รถยนต์จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า,E-MODE ขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 33 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย ,E-SAVE ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด และแบบที่4 คือ CHARGE การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง

ส่วนขุมพลังของ The S 500 e มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน แบบวี 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 6 สูบ ความจุ กระบอกสูบ 2996 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 333 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตัน-เมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์จไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 31 กิโลเมตร สนนราคาThe S 500 e Exclusive ราคา 6,390,000 บาท และ The S 500 e AMG Premium ราคา 6,990,000 บาท

อีก 1 รุ่น The C 350 e ถือเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในตระกูล The new C-Class ที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริดต่อจากรุ่น C 300 BlueTEC Hybrid และยังเป็นรถรุ่นที่ 2ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ใช้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด โดยมีให้เลือกทั้งแบบซีดานและเอสเตท และมีจุดเด่นด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดถึง 47.5 กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 58 กรัม/กิโลเมตรในรุ่นซีดาน และ 54 กรัม/กิโลเมตรในรุ่นเอสเตท พร้อมด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ โดยรถรุ่นนี้มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 5 รูปแบบIndividual (I) , Sport+ (S+) ,Sport (S) ,Comfort (C) และ Economy (E) นอกจากนั้นแล้วยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบPlug-In HYBRIDได้ 4 แบบเช่นเดียวกับรุ่น The S 500 e
โดย The C 350 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1991 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที โดยในรุ่นซีดานมีแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ส่วนในรุ่นเอสเตท มีแรงบิด 300 นิวตัน-เมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 246 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย สนนราคา The C 350 e Exclusive ราคา 2,990,000 บาท,The C 350 e AMG Dynamic ราคา 3,340,000 บาท และ The C 350 e Estate AMG Dynamic ราคา 3,690,000 บาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,125 วันที่ 24 - 27 มกราคม พ.ศ. 2559
Photo : Pixbay