สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯประกาศว่าสหรัฐฯร่วมกับอังกฤษเเละฝรั่งเศสโจมตีซีเรียในวันนี้ โดยอ้างว่าต้องโจมตีเป้าหมายต่างๆที่เป็นแหล่งยิงอาวุธเคมีของนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย หลังจากมีการใช้อาวุธเคมีโจมตีฐานที่มั่นกบฏจนส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 60 คน เมื่อสัปดาห์ก่อน
นายเจมส์ แมททิส รมว.กลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า ไม่มีรายงานความสูญเสียจากปฏิบัติการโจมตีอาคารสำหรับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในกรุงดามัสกัส ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธเคมี คลังเก็บอาวุธเคมีในเมืองฮอมส์ คลังเก็บอุปกรณ์ที่ใช้กับอาวุธเคมี และอาคารศูนย์บัญชาการที่สำคัญใกล้กับเมืองฮอมส์ และถือว่าปฏิบัติการร่วมกับชาติพันธมิตรครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี เเละเป็นปฏิบัติการเพียงครั้งเดียว ซึ่งเชื่อว่าได้สื่อความหมายที่หนักแน่นชัดเจน และการโจมตีระลอกแรกเสร็จสิ้นลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ กล่าวว่า
"เราเตรียมพร้อมจะสานต่อการโต้ตอบนี้ ไปจนกว่ารัฐบาลซีเรียจะหยุดใช้สารเคมีต้องห้าม”
รมว.กลาโหมสหรัฐฯระบุว่า ไม่ได้แจ้งเตือนล่วงหน้าไปยังรัฐบาลรัสเซียว่าจะโจมตีเป้าหมายใดบ้าง ขณะที่กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย ที่มีสำนักงานใหญ่ในสหราชอาณาจักร ระบุว่าสถานที่ที่ถูกโจมตี มีอาคารซึ่งใช้ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของซีเรียในกรุงดามัสกัส และอีกหลายเป้าหมายที่เกี่ยวกข้องกับกองทัพ
พล.อ.โจเซฟ ดันฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯแถลงที่กระทรวงกลาโหมว่า ปฏิบัติการโจมตีซีเรีย ซึ่งสหรัฐฯร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศส เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น. ของวันที่12เม.ย. (ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ) ตรงกับเวลา 08.00 น.ของวันนี้(ตามเวลาในไทย) โดยเป้าหมายที่ถูกถล่ม3 แห่ง เกี่ยวข้องกับโครงการอาวุธเคมีของซีเรีย คือศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ในกรุงดามัสกัส คลังเก็บอาวุธเคมีทางตะวันออกของเมืองฮอมส์ และคลังเก็บอุปกรณ์อาวุธเคมีและกองบัญชาการสำคัญ ใกล้กับคลังเก็บอาวุธเคมีในเมืองฮอมส์
นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศวันนี้ว่า ได้สั่งการให้กองทัพอังกฤษปฏิบัติการโจมตีใส่เป้าหมายแบบเจาะจงในซีเรียเพื่อทำลายเครื่องมือ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างที่ทำให้รัฐบาลซีเรียสามารถปฏิบัติการโจมตีด้วยอาวุธเคมี มันไม่ใช่ปฏิบัติการเพื่อแทรกแซงในสงครามกลางเมือง ไม่ได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง แต่เป็นเรื่องของการจำกัดขีดความสามารถในการใช้อาวุธเคมีทำลายล้างชีวิตผู้คนของรัฐบาลซีเรียและเล็งเป้าโจมตีแบบจำกัดวง ไม่ใช่เหวี่ยงแห โดยทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตพลเรือน เเละ ปฏิบัติการโจมตีซีเรียครั้งนี้ของอังกฤษ เป็นปฏิบัติการร่วมกับฝรั่งเศสและสหรัฐฯซึ่งสอดคล้องกับคำประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นายเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำของฝรั่งเศส ยืนยันว่า “กองทัพฝรั่งเศสได้เข้าร่วมในปฏิบัติการนี้ด้วยเช่นกัน”
ขณะที่สำนักข่าวซานาของซีเรีย ประณามปฏิบัติการร่วมของชาติตะวันตกว่า “ละเมิดกฎหมายสากล ฝ่าฝืนเจตนารมณ์นานาชาติ และปฏิบัติการนี้จะต้องล้มเหลว”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังการสั่งโจมตีซีเรียของนายทรัมป์ ระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรีย ยิงขีปนาวุธที่ถูกยิงมาจากสามชาติร่วงไป 13 ลูกในพื้นที่ทางตอนใต้ของกรุงดามัสกัส
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มสังเกตุการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรีย ระบุว่า ศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ 3 แห่งถูกทำลายเสียหายจากปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้ของทั้งสามชาติ โดยศูนย์สองแห่งอยู่ในกรุงดามัสกัส ส่วนอีกแห่งที่ถูกทำลายเสียหายอยู่ในเมืองฮอมส์ โดยขณะนี้ ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิต เนื่องจากต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการอพยพคนออกไปจากฐานปฏิบัติการต่างๆ
นายอนาโทลี อันโทนอฟ เอกอัครราทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ กล่าวเตือนสหรัฐฯอังกฤษ และฝรั่งเศส ให้เตรียมรับมือผลพวงที่จะตามมาหลังทั้งสามชาติสั่งโจมตีซีเรียว่า ปฏิบัติการโจมตีที่เกิดขึ้น จะต้องมีผลพวงตามมาอย่างแน่นอน โดยผู้ที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด คือสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส เพราะรัสเซียรู้สึกว่าถูกคุกคามจากการตัดสินใจของสหรัฐฯในการโจมตีหลายเป้าหมายของซีเรีย เพื่อตอบโต้ซีเรียที่ถูกกล่าวหาเรื่องการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเมืองดูมา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ซึ่งเชื่อว่าเป็นเหตุที่มีการวางแผนไว้
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์กหารสหประชาชาติ(ยูเอ็น) กล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า โลกกำลังเผชิญหน้ากับสงครามเย็นครั้งที่สองที่อุณหภูมิของความบาดหมางและความมุ่งมั่นตอบโต้ของมหาอำนาจสองขั้วรุนแรงยิ่งกว่าสงครามเย็นครั้งแรก
นายกูเตอร์เรส กล่าวว่า ขณะนี้ทีมงานชุดแรกขององค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี ( โอพีซีดับเบิลยู ) ทยอยลงพื้นที่ในเขตเมืองดูมา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเขตกูตาตะวันออก ชานกรุงดามัสกัสแล้ว เพื่อรวบรวมหลักฐานในการพิสูจน์ว่ามีการใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 คน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจริงหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบว่าเป็นอาวุธเคมีของฝ่ายใด และเป็นสารพิษชนิดใด