“อิควล”รุกหนักเปิตตัวแพคเกจใหม่จับแม่บ้านยุคมิลเลนเนียล
เมอร์ริซันท์ รุกหนักเปิดตัว “อิควล โกลด์” ในรูปแบบใหม่ “ถุงซิปล็อค” เอาใจกลุ่มคนรักการปรุงอาหารคาว-หวาน พร้อมอัดกลยุทธ์ออนไลน์สร้างการรับรู้
นายมาริโอ้ ปาสคาเร่ รองประธานและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท เมอร์ริซันท์ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลแบรนด์ “อิควล” เผยว่า เทรนด์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลสุขภาพตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลที่นิยมเลือกการควบคุมหรือบริโภคอาหารเป็นวิธีในการสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ตัวเอง
โดยข้อมูลจากรายงานการสำรวจของนีลเส็น (Nielsen) ในปี 2016 พบว่า 58% ของผู้บริโภคในเอเชียมองว่าการลดการบริโภคน้ำตาลเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลสุขภาพ ส่วนในประเทศไทย พบว่า 78% ของคนไทยมองว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร คือ วิธีการดูแลสุขภาพและเป็นทางเลือกที่ดีในการควบคุมน้ำหนัก ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาล จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาล มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โดยในปี 2017 มูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 108 ล้านบาท (เฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรด)”
ล่าสุดบริษัทเดินหน้าทำการตลาด “อิควล โกลด์” โดยเปิดตัว “อิควล โกลด์” ในบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ ‘ถุงซิปล็อค’ เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ชอบทำอาหารทานเองที่บ้าน เพราะ ‘อิควล โกลด์’ สามารถใช้ปรุงอาหารคาวหวานบนเตา ด้านกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทเน้นสื่อสารทางการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การทำดิจิทัลแคมเปญ การจับมือพันธมิตรทางธุรกิจอย่างกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำ การเดินสายจัดกิจกรรมโรดโชว์ทั่วประเทศและการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ณ จุดขาย เป็นต้น ในส่วนช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “อิควล” ในปัจจุบันมีวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ “อิควล” ได้อย่างสะดวก”
สำหรับภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลในปีก่อนมีมูลค่ารวม 108 ล้านบาท (เฉพาะช่องทางโมเดิร์น เทรด) และมีการเติบโต 2% จากปีก่อน โดยในปีนี้คาดว่าตลาดผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลจะมีมูลค่าประมาณ 112 ล้านบาท และเติบโตขึ้น 4% โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 4% เป็น 55% จากเดิม 51%
นายมาริโอ้ ปาสคาเร่ รองประธานและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท เมอร์ริซันท์ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลแบรนด์ “อิควล” เผยว่า เทรนด์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลสุขภาพตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลที่นิยมเลือกการควบคุมหรือบริโภคอาหารเป็นวิธีในการสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ตัวเอง
โดยข้อมูลจากรายงานการสำรวจของนีลเส็น (Nielsen) ในปี 2016 พบว่า 58% ของผู้บริโภคในเอเชียมองว่าการลดการบริโภคน้ำตาลเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลสุขภาพ ส่วนในประเทศไทย พบว่า 78% ของคนไทยมองว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร คือ วิธีการดูแลสุขภาพและเป็นทางเลือกที่ดีในการควบคุมน้ำหนัก ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาล จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาล มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โดยในปี 2017 มูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 108 ล้านบาท (เฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรด)”
ล่าสุดบริษัทเดินหน้าทำการตลาด “อิควล โกลด์” โดยเปิดตัว “อิควล โกลด์” ในบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ ‘ถุงซิปล็อค’ เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ชอบทำอาหารทานเองที่บ้าน เพราะ ‘อิควล โกลด์’ สามารถใช้ปรุงอาหารคาวหวานบนเตา ด้านกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทเน้นสื่อสารทางการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การทำดิจิทัลแคมเปญ การจับมือพันธมิตรทางธุรกิจอย่างกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำ การเดินสายจัดกิจกรรมโรดโชว์ทั่วประเทศและการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ณ จุดขาย เป็นต้น ในส่วนช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “อิควล” ในปัจจุบันมีวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ “อิควล” ได้อย่างสะดวก”
สำหรับภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลในปีก่อนมีมูลค่ารวม 108 ล้านบาท (เฉพาะช่องทางโมเดิร์น เทรด) และมีการเติบโต 2% จากปีก่อน โดยในปีนี้คาดว่าตลาดผลิตภัณฑ์ให้ความหวานแทนน้ำตาลจะมีมูลค่าประมาณ 112 ล้านบาท และเติบโตขึ้น 4% โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 4% เป็น 55% จากเดิม 51%
