ทางเดียวไม่เลี้ยวไปไหน : เมื่อ "ไพร่รับใช้เจ้า" บอกกล่าว "ไพร่หมื่นล้าน" ว่าจะไร้ราคาเมื่อเป็น "ซ้ายปัญญาอ่อน"(2)

22 มี.ค. 2561 | 09:56 น.
 

265

 

"ไม่ต้องหมอบกราบพระเจ้าองค์ไหน หรือบริจาคเงินให้ผู้วิเศษองค์ใด อนาคตของความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยอยู่ที่ความก้าวหน้าด้านวิทยศาสตร์และเทคโนโลยี" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวไว้

ความคิดพื้นฐานอย่างนี้ถือว่าเป็นความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ และจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่หลักคิดนี้ก็ไปพ้องกับนักคิดที่มีหลักคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์คนหนึ่งนั่นก็คือ "คาร์ล มาร์กซ์" ผู้เป็นบิดาแห่งคอมมิวนิสต์และโดยมีปรัชญา"วัตถุนิยมวิภาษวิธี" เป็นหลักคิดและมีทฤษฎี"วัตถุนิยมประวัติศาสตร์"ชี้นำการเปลี่ยนแปลง!!!!
142901 ดังนั้นเมื่อ "ธนาธร" เดินหน้าเข้าสู่การเมืองโดยได้นำเสนอหลักคิดของตัวเองออกมามากมายไปในทางที่ "ขบถ" ต่อระบบดั้งเดิมของสังคม จึงจะต้องตั้งคำถามว่า "เข้าใจ" หรือไม่ว่า????

สังคมดั้งเดิมเกิดขึ้นจากรากฐานอะไรและวิวัฒนาการมาเป็นอย่างไรจึงเป็นอยู่ในปัจจุบันและหากจะเปลี่ยนแปลงไปอนาคตก็ต้องพิจารณาว่า จะใช้หลักคิดใด เป็นหลักฐานในการเปลี่ยนแปลง???

เพราะสถานะปัจจุบันของ "ธนาธร"นั้นมีความขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว!!!

วิวัฒนาการของสังคมเกิดขึ้นจากสังคมบุพกาลที่ทุกคนอยู่กันอย่าง "เท่าเทียม" อาศัยปัจจัยตามธรรมชาติเพื่อดำรงชีวิตอยู่

ต่อมาเมื่อมีการค้นพบเทคโนโลยีพื้นฐาน เช่นไฟเครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์และทำการเกษตร จึงทำให้เกิด "โครงสร้างทางเศรษฐกิจ" ที่มีพื้นฐานทางการเกษตรขึ้น "มูลค่าส่วนเกิน" จึงเกิดขึ้น  เริ่มมีการสะสมแย่งชิง สังคมเริ่มแบ่งแยกกันออกเป็นกลุ่มๆ เกิดระบบการปกครองขึ้นเรียกว่า "ระบอบศักดินา"ผู้นำเรียกว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" เพราะเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดที่ใช้ในการทำการเกษตร(นา) และมีขุนนางผู้ร่วมปกครองที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นนาตามยศศักดิ์และตำแหน่งสูงต่ำลดหลั่นกันไป!!!!

ที่สำคัญมีประชาชนคนธรรมดาเป็นผู้ลงมือทำการผลิตให้กับ "พระเจ้าแผ่นดิน" และ "ขุนนาง" ประชาชนธรรมดาเหล่านี้เรียกว่า "ไพร่"!!!
142909 ต่อมาได้มีการค้นพบเทคโนโลยี่ ที่สูงขึ้นเพื่อใช้ทุ่นแรงของมนุษย์ กลุ่มคนที่ครอบครองเทคโนโลยีดังกล่าวได้ใช้เทคโนโลยีนั้นแสวงหา "มูลค่าส่วนเกิน" โดยมีเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน และเมื่อสะสมเงินมากขึ้นเขาก็กลายเป็นผู้มีอำนาจเรียกกันว่า "นายทุน"ส่วนประชาชนคนธรรมดาที่เคยเป็น "ไพร่" ก็แปลเปลี่ยนมาเป็น "ผู้ใช้แรงงาน" หรือ "กรรมกร"!!!

"นายทุน"สะสมเงินมากขึ้น อำนาจก็ตามมาเกิดความคิดว่าไม่อยากอยู่ภาย "ใต้การปกครอง" ของ "พระเจ้าแผ่นดิน" และขุนนางจึงสร้างสรรค์ระบบการปกครองใหม่ขึ้นเรียกว่า "ประชาธิปไตย"โดยมีข้ออ้างว่า "คนทุกคนเท่าเทียมกัน" จึงควรเลือกตั้งผู้นำของตัวเองขึ้นมาเอง ไม่ใช่มาจากการสืบทอดอำนาจ!!!!

การปฏิวัติโค้นล้มสังคมจึงเกิดขึ้นเป็นระลอกแรก!!!!

"คาร์ล มาร์กซ์" เห็นว่าระบอบ "ประชาธิปไตย" ก็เป็นแค่ระบบหนึ่งที่ " นายทุน"ได้สร้างขึ้นเพื่อกอบโกยมูลค่าส่วนเกินที่ประชาชนผลิตขึ้นมาเท่านั้น จึงจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบการปกครองใหม่ที่ "กระจายมูลค่าส่วนเกิน" อย่างเป็นธรรม!! ให้กับประชาชนซึ่งเป็นผู้ผลิต

ระบอบคอมมิวนิสต์จึงเกิดขึ้น จากนั้นสังคมของมนุษย์ชาติในโลกนี้จึงปกครองผสมผสานกันไปทั้งสามระบอบคือ "ศักดินา " "ประชาธิปไตย" และ "คอมมิวนิสต์"!!!!
MP40-3270-B มีคำถามมากมายว่าระบอบไหน ดีกว่ากัน "ประชาธิปไตย" ก็เห็นหายนะและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่แตกต่างกันอย่างมากมายใน "สหรัฐอเมริกา"และ "ยุโรป"

"ศักดินา "ก็ยังคงอยู่ในหลายประเทศในตะวันออกกลาง!!!

"คอมมิวนิสต์"หลายประเทศล่มสลายลงไป ที่เหลืออยู่เช่น จีน เวียดนาม ลาว ประชาชนก็มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่ "คอมมิวนิสต์" ได้ทำก็คือปรับเปลี่ยนหลักคิดของ "คาร์ล มาร์กซ์" มาผสมผสานกับหลักของ "ศาสนา" เพื่อทำให้ประชาชนมีความสุขที่แท้จริงว่านอกเหนือจากการได้แบ่งปันมูลค่าส่วนเกินที่เหมาะสมแล้ว ยังจะต้องมีภาวะทางจิตใจที่สุขสงบอันเป็นความสุขที่แท้จริงด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นในระบอบเศรษฐกิจก็เอาหลักของทุนนิยมมาผสมเข้าไปด้วยกัน

สิ่งที่กำลังจะบอกกับ "ธนาธร" ก็คือทุกเรื่องในโลกนี้มีมิติที่ซับซ้อนและผสมผสานกันอยู่ ไม่ใช่มีเพียงแค่ดำกับขาวหรือเพียงสองด้านที่ "ธนาธร" เห็นเท่านั้น

และที่สำคัญคือความคิด "ขบถ" ของ"ธนาธรที่"เป็นอยู่นั้นเป็นแค่เปลือก!!!!

เพราะพื้นฐานความรู้สึกที่แท้จริงของ"ธนาธร"ยังเป็น "ชนชั้นนายทุน" คิดแบบ"นายทุน"
142913_0 ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อในปี 2549 พนักงานบริษัท ไทยซัมมิท อีสเทิร์น ซีบอร์ด ออโต้พาร์ท อินดัสตรี จำกัด จำนวน 260 คน ถูกเลิกจ้างงาน เพราะได้ไปสมัครเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าประเทศไทย ต่อมาในปี 2557  บริษัทซัมมิทมีการกดดันให้พนักงานทำงานล่วงเวลา แทนที่จะจ่ายค่าจ้างในระดับเพียงพอและรับสมัครคนงานเพิ่ม และบริษัทก็ลงโทษพนักงานที่ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้ทางบริษัทได้ออกคำสั่งให้กรรมการสหภาพ 4 ท่าน คือ ประธาน รองประธาน กรรมการพื้นที่แหลมฉบัง และกรรมการพื้นที่ระยอง หยุดปฏิบัติงาน เพื่อหวังปลดออก!!!!

แค่นี้ชัดเจนไหม????

อยากเปลี่ยนสังคมให้เท่าเทียมไม่ต้องไปไกล ถึงสังคมไทยหรอก แค่เปลี่ยนบริษัทตัวเองก่อน อย่าเก็บมูลค่าส่วนเกิน เอาไว้แค่ตระกูลตัวเอง จงจัดสรรปันส่วนหุ้นในบริษัทให้กับพนักงาน ถ้าทำเป็นระบบศากรหรืออะไรก็ตามแต่ที่นำไปสู่เนื้อหาแห่ง"ความเท่าเทียมกัน" กัน

เพราะ "ความเท่าเทียมที่แท้จริง" นั้นไม่ได้อยู่ที่ระบบปกครอง อยู่ที่ระบบเศรษฐกิจ ระบบการปกครองเป็นเพียงยอดบนของระบบเศรษฐกิจเท่านั้น

ไม่มีอะไรโกรธเคืองเป็นการส่วนตัว แต่มีบทเรียนที่เคยคิดอย่างนี้มาก่อนแล้วเห็นว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงหลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา เลยไม่อยากให้คนจำนวนหนึ่งหลงใหลไปกับของปลอม!!!!

ตอนหน้ามาว่ากันต่อว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องคิดให้ลึกซึ้งเพราะชีวิตมีมิติที่ล้ำลึกเกินกว่าที่เราเห็น!!!!
..............................
คอลัมน์ : ทางเดียวไม่เลี้ยวไปไหน /หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3350 ระหว่างวันที่ 22-24 มี.ค.2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว