ดีเดย์เปิดร.พ.บำรุงเมืองฯไตรมาส4

21 มี.ค. 2561 | 13:48 น.
ร.พ.ธนบุรี เตรียมเปิดโปรเจ็กต์ “บำรุงเมืองพลาซ่า” มูลค่า 3,000 ล้าน ไตรมาส 4 เดินหน้าเจาะฐานลูกค้าชาวจีนเยาวราช พร้อมเปิดทางรับลูกค้าเมดิคัลทัวริซึม หวังเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 10-20%

น.พ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาอาคารโซโห ของบริษัท บำรุงเมืองพลาซ่า จำกัด (BMP) ว่า ขณะนี้ได้เริ่มปรับปรุงอาคารและเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ซึ่งคาดว่าเพื่อจะเปิดให้บริการในเฟสแรกได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวได้พัฒนาเป็นโรงพยาบาลแห่งใหม่ในเครือโรงพยาบาลธนบุรี ที่จะมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงเป็นศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยภายหลังจากการรักษาที่โรงพยาบาลธนบุรี 1 และ 2

[caption id="attachment_269310" align="aligncenter" width="335"] น.พ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ น.พ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์[/caption]

“ความคืบหน้าของการปรับปรุงอาคาร ในเฟสแรกจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนโครงการทั้งหมดจะสมบูรณ์และเปิดบริการได้ในช่วงกลางปีหน้านี้ ส่วนชื่อของโรงพยาบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้ชื่ออะไร คาดว่าภายในอีก 2-3 เดือนน่าจะประกาศชื่อได้ ซึ่งโครงการได้ใช้เม็ดเงินลงทุนทั้งการตกแต่งและเครื่องมืออุปกรณ์ประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่หากรวมทั้งโครงการที่ได้ซื้อกิจการมาจะเป็นเม็ดเงิน 3,000 ล้านบาท”

สำหรับรายละเอียดของโรงพยาบาลที่บำรุงเมืองพลาซ่า จะประกอบด้วยคลินิกพิเศษ อาทิ ศูนย์ทันตกรรม ศูนย์ผู้มีบุตรยาก และศูนย์ส่องกล้อง ซึ่งรวมห้องตรวจ 60-70 ห้อง ที่พักฟื้นผู้ป่วย 59 เตียง ซึ่งสามารถขยายเพิ่มได้ถึง 150 เตียง และศูนย์เวลเนส โดยจะรองรับกลุ่มเป้าหมายผู้ที่พักอาศัยอยู่ในย่านเยาวราช และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเดิมใช้บริการกับทางโรงพยาบาลธนบุรีอยู่แล้ว ที่มีอยู่ประมาณ 20%

นอกจากนี้ยังจะเป็นกลุ่มชาวต่างชาติของโรงพยาบาลธนบุรี 1 ที่มีสัดส่วน 5% ซึ่งจะเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลแห่งใหม่ดังกล่าว และตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 10-20%

“ฐานคนไข้เดิมก็เป็นกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนในย่านเยาวราชอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งต่อมาพักฟื้นที่แห่งใหม่ รวมถึงกลุ่มเมดิคัลทัวริซึม ที่จะมีศูนย์ทันตกรรมเป็นศูนย์หลักในการจับตลาดดังกล่าว เพราะมีห้องตรวจประมาณ 20 ยูนิต สามารถให้บริการด้านทันตกรรมได้ภายใน 1 วัน ที่เป็นระบบดิจิตอล แม้ว่าจะมีค่าบริการแพงกว่าการบริการทั่วไปเล็กน้อย แต่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ ถึง 50% หรืออย่างน้อย 1 ใน 3 แนวทางการทำตลาดต่างประเทศจะใช้กลยุทธ์ปากต่อปาก มีฐานลูกค้าหลักเป็นชาวเมียนมา กัมพูชา และจีน”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,349 วันที่ 18 - 21 มีนาคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว