ก็เป็นไปตามความคาดหมายครับ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ลงนามอนุมัติการขึ้นภาษีเหล็กเป็น 25% และอะลูมิเนียม 10% ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม และจะมีผลบังคับใช้หลังจากนั้น 15 วัน
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทรัมป์ได้ประกาศยกเว้นอยู่ 2 ประเทศ คือ แคนาดา และ เม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือ นาฟต้า นอกจากนั้น ทรัมป์ ยังบอกว่า ทุกประเทศในโลกยังมีโอกาสที่จะได้รับการยกเว้นภาษีดังกล่าวเหมือนกับแคนาดา และเม็กซิโก
นั่นหมายถึงอะไร? ประเด็นการขึ้นภาษีเหล็กของทรัมป์นั้น กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯในยุคนี้อย่างชัดเจนที่สุดครับ โดยตัวอย่างของนาฟต้านั้น ถือว่าชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งที่ผ่านมา สหรัฐฯได้ประกาศที่จะรื้อฟื้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี หรือนาฟต้า กับเม็กซิโก และ แคนาดาใหม่ทั้งหมด ทรัมป์บอกว่า นาฟต้าไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ การใช้ภาษี 0% ทำให้เอกชนสหรัฐฯออกไปตั้งฐานการผลิตในเม็กซิโก ซึ่งมีต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่า แล้วสินค้าที่ผลิตได้ก็ถูกกลับมาส่งขายในสหรัฐฯด้วยอัตราภาษีนำเข้า 0%
การเจรจานาฟต้าใหม่นั้นเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วครับ แต่ยังไม่ได้มีการสรุปอย่างเป็นทางการว่าผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และดูเหมือนทรัมป์ ก็พอใจกับแนวทางการเจรจาที่เกิดขึ้นด้วย
ดังนั้น การที่สหรัฐฯได้ยกเว้น แคนาดา และเม็กซิโก จากมาตรการขึ้นอัตราภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียมในครั้งนี้ ก็เสมือนกับเป็นการตบรางวัลให้กับ 2 ประเทศดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็บอกว่า ทุกประเทศในโลกยังมีโอกาสที่จะได้รับการยกเว้นมาตรการขึ้นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียม เหมือนกับแคนาดา ในอนาคต ซึ่งนั่นก็เปรียบเสมือนกับการหยั่งเชิงไปยังคู่ค้าทั่วโลก ว่าจะต้องมาคุยกันในประเด็นการค้าอื่นๆก่อน โดยประเด็นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียม เป็นไพ่ที่สหรัฐฯถือเอาไว้ต่อรองนั่นเอง
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ เพราะได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ว่าในส่วนไหนที่สหรัฐฯเห็นว่าไม่เป็นธรรม ก็จะต้องมาคุย มาเจรจาต่อรองกันใหม่
และที่สำคัญไม่ใช่เป็นการคุยกันแบบเป็นกลุ่ม หรือพหุภาคี แต่จะเป็นการคุยกันแบบตัวต่อตัว สองต่อสอง หรือทวิภาคี เสียด้วย
หากไม่ลืมกัน สิ่งแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ทำหลังขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯตั้งแต่วันแรกๆ ก็คือการประกาศถอนตัวออกจากกลุ่มความร่วมมือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ ทีพีพี ทั้งๆที่สหรัฐฯ (สมัยอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา) เป็นโต้โผใหญ่จัดตั้งขึ้นมาเอง
ตามต่อมาด้วยการขู่ยกเลิกข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกา เหนือ หรือนาฟต้า ทั้งๆ ที่ข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 จนในที่สุด เม็กซิโก และแคนาดา ก็ต้องยอมที่จะเริ่มมาเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯใหม่
ดังนั้น สำหรับการขึ้นภาษีเหล็ก และภาษีอะลูมิเนียมของสหรัฐฯในครั้งนี้ แน่นอนว่าในด้านหนึ่งแม้ว่าจะสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯที่เป็นรูปธรรมครั้งแรก และทำในรูปของการขึ้นภาษีแบบตรงๆ เสียด้วย ไม่ต้องอ้อมค้อมเป็นในแบบของการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หรือ Non-Tariff Barrier เหมือนที่ทั่วโลกทำกัน
และในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งถือว่าสำคัญมากก็คือ การจะค้าขายกับสหรัฐฯในยุคนี้นั้น น่าจะยากมากขึ้น ต้องต่อรอง ต้องเจรจา ต้องมีการแลกเปลี่ยนกันอย่างที่สหรัฐฯจะไม่ยอมเสียเปรียบ และจะให้ใครมาทุ่มตลาดง่ายๆ ไม่ได้แล้วครับ
เพราะอย่าลืมว่า โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นคือนักธุรกิจ คือพ่อค้าครับ...
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,348 วันที่ 15 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2561