เชื่อมสัมพันธ์การเงิน ปูทางเพิ่มมูลค่าการค้าไทย-อินเดีย

10 มี.ค. 2561 | 09:57 น.
อินเดียไม่เพียงจะโดดเด่นในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อินเดียก็เนื้อหอมไม่แพ้กัน เพราะดึงดูดให้กองทุนต่างชาติแห่ไปลงทุนกันอย่างล้นหลาม แม้ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นร้อนแรง เกือบ 30% แต่นักลงทุนยังมองว่า ราคาแม้จะไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงจนเกินไปนัก เพราะถ้าเทียบกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในช่วง 5-6 ปีข้างหน้า ยังมองว่าเติบโตได้ค่อนข้างดีเกือบ 8% สูงมากเมื่อเทียบประเทศตลาดเกิดใหม่ที่คาดเติบโตที่ 5-6% เท่านั้น

MP24-3346-6 และที่เห็นโดดเด่นไม่แพ้กันคือ การดำเนินนโยบายการเงิน และการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเงิน หรือ Financial Technology หรือ Fin Tech โดยจะเห็นจากการดำเนินนโยบายสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกธนบัตรรูปีมูลค่า 500 และ 1,000 รูปีเพื่อต่อต้านการฟอกเงินและปลอมธนบัตรควบคู่ไปกับการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด การพัฒนา India stack กลุ่มซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิตอลของประเทศ การใช้รหัส 12 หลักควบคู่กับข้อมูล biometric ในการยืนยันตัวตนและเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับบัญชีธนาคาร โทรศัพท์มือถือ บัตรสวัสดิการ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนในระบบราว 1.2 พันล้านคน เมื่อใช้ร่วมกับระบบ e-KYC ก็จะสามารถเปิดบัญชีได้

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้จัดนำคณะผู้แทนไทยเดินทางไปเยือนอินเดีย เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการเงิน ณ เมืองมุมไบ ระหว่างวันที่ 13-18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางการเงิน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่ไทยและอินเดียยังไม่มีความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินใดๆ

MP24-3346-5 นายอรรถยุทธ์ ศรีสมุทร อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศบอกกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สิ่งที่กระทรวงต่างประเทศทำคือ พยายามเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ได้มาพบปะกันทั้งที่เป็นผู้ประกอบการ หรือหน่วยงานภาครัฐของอินเดียเอง เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้รับทราบประเด็นปัญหาต่างๆ และจะได้กลับมาพูดคุยโดยนำมาอินเดียเป็นตัวอย่าง ทั้งในแง่การกำกับดูแลของธนาคารกลางและตลาดทุน เพื่อให้อินเดียเองเห็นไทยเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจไม่ใช่แค่ทางผ่านเข้าอาเซียนเท่านั้น

สอดคล้องกับนางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่า สิ่งที่ได้หลักคือ การได้ทำความรู้จักกับหน่วยงานกำกับดูแลระบบเงินอย่างธนาคารกลางของอินเดีย แม้จะยังไม่ถึงกับมีการลงนามอย่าง เป็นทางการอะไร แต่ก็จะนำไปสู่ความร่วมมือต่อไปในอนาคต เพราะอินเดีย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่จะให้เกิดความร่วมมือทั้งระบบการชำระเงินและการใช้เงินบาทเป็นสกุลเงินท้องถิ่น หรือ Local Currency

แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์ เช่นเดียวกับนายสมยศ ตั้งมีลาภ รองประธานสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทยบอกว่า คนไทยยังติดภาพเดิมๆว่า อินเดียเป็นประเทศยากจนและต่อรองเก่ง ทำให้คนไทยไม่อยากค้าขายกับอินเดีย แต่เราทอดทิ้งอินเดียไม่ได้ เพราะเป็นประเทศที่ใหญ่ ประชากรมากถึง 1,300 ล้านคนและการมาครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า อินเดียมีการพัฒนาไปมาก ขนาดชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น จากที่มีคนรวยติดอันดับโลกเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องเริ่มผูกสัมพันธ์ให้ใกล้ชิด เพราะอินเดียก็คือชาวเอเชียเหมือนกัน การทำธุรกิจค้าขายก็ต้องทำให้เหมือนญาติมิตร

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,346 วันที่ 8 - 10 มีนาคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว