ประยุทธ์สั่งบอร์ดเอสเอ็มอี หนุน "ไทยนิยมยั่งยืน"

07 มี.ค. 2561 | 11:19 น.
เมื่อเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเฉพาะกิจ (เอสเอ็มอี) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวก่อนการประชุมว่า วันนี้รัฐบาลมีการเดินหน้า 'โครงการไทยนิยมยั่งยืน' ซึ่งขณะนี้กำลังลงพื้นที่ไปพบประชาชน และการสร้างวิสาหกิจชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ และควรจะต้องเกิดขึ้นในพื้นที่ด้วย ดังนั้น เมื่อคณะทำงานสรุปรายงานข้อมูลที่ทีมไทยนิยมยั่งยืนรวบรวมมาแล้ว หากมีโครงการใดก็ตาม ที่จะขอรับการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับเอสเอ็มอี ขอให้นำมาประกอบการพิจารณาในการที่จะใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการส่งเสริมด้วย ไม่เช่นนั้นเป้าหมายจะไม่ครบถ้วน พร้อมขอให้จัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณ ที่ต้องใช้งานตามภารกิจ โดยขอให้ปรับแนวทางให้ตรงกับเป้าหมายในพื้นที่ทั้งหมด 76 + 1 จังหวัด รวมทั้งให้ตรงความต้องการ และต้องปรับให้ทันเวลาในปี 2561 นี้ เพื่อจะได้งานที่เพิ่มพูนออกไป ไม่ใช่จะใช้แต่งบประมาณของโครงการไทยนิยมยั่งยืนเพียงอย่างเดียว นี่คือ สิ่งที่ภาครัฐต้องการสร้างความเข้มแข็งให้ทุกภาคส่วน

นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบจัดสรรงบประมาณจำนวน 1,219 ล้านบาท เพื่อบูรณาการงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้สอดคล้องกับมาตรการเร่งด่วนในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีตามยุทศาสตร์ชาติใน 4 แนวทางคือ 1) สร้างและพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นและผู้ประกอบการรายใหม่ (Startup) วงเงิน 141.51 ล้านบาท มีเป้าหมายพัฒนาบ่มเพาะผู้ประกอบการใหม่ 10,000 ราย และสร้างนักรบเศรษฐกิจใหม่เข้าสู่ระบบไม่น้อยกว่า 3,000 กิจการ

2) ส่งเสริม SME กลุ่มทั่วไป (Regular) ให้มีศักยภาพมากขึ้นและให้ความช่วยเหลือ SME ที่ประสบปัญหาทางธุรกิจ (Turnaround) วงเงิน 505.88 ล้านบาท ตั้งเป้าพัฒนาเครือข่าย 33 เครือข่าย ส่งเสริมผู้ประกอบการ 74,032 ราย พัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการขาย 101,482 ผลิตภัณฑ์ และจัดงานประกวด 2 งาน 3) ส่งเสริม SME ที่มีศักยภาพ (Strong) ให้มีความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น วงเงิน 40.76 ล้านบาท ตั้งเป้าให้ความรู้ด้านการตลาด 2,000 ราย และสนับสนุนด้านการตลาดทั้งในและต่างประเทศรวม 2,000 กิจการ

4) พัฒนาปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจเพื่อการส่งเสริม SME (Ecosystem) 531.28 ล้านบาท โดยจัดทำแผนการดำเนินงาน 2 แผน ศึกษาวิจัยและจัดทำรายงานที่เป็นประโยชน์จำนวน 23 เรื่อง จัดทำฐานข้อมูลสนับสนุนการประกอบธุรกิจให้แก่ SME 7 ระบบ สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศจำนวน 25 เครือข่าย และให้คำแนะนำปรึกษาแก่ SME จำนวน 188,850 ราย โดยภาพรวมในปีนี้คาดว่า SME จะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 3,760 ล้านบาท ผู้ประกอบการแต่ละรายมียอดขายเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ รวมถึงความสามารถในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการที่ร้อยละ 20

นายสุวรรณชัย กล่าวว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ระยะที่ 2 วงเงินงบประมาณ 30 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อสนับสนุนการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับหลักประกันธุรกิจใหม่ตามมาตรฐานสากล การศึกษาและแผนปฏิบัติการแนวทางการยกระดับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น และแนวทางการพัฒนาการเข้าถึง E-Government ด้านต่าง ๆ โดยผลการดำเนินโครงการในระยะที่ 1 ก.พ.ร. มีข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาบริการของหน่วยงานภาครัฐให้มีความง่ายต่อการประกอบธุรกิจจำนวน 79 กิจกรรม และมีหน่วยงานต่าง ๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะ 26 กิจกรรม ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถปรับอันดับประเมินความยากง่ายในการประกอบธุรกิจจากอันดับที่ 46 ในปี 2560 เป็นอันดับที่ 26 ในปี 2561 โดยมีตัวชี้วัดที่ได้รับการปรับปรุง 8 ด้านจาก 10 ด้าน และติด 1 ใน 10 ของประเทศที่มีการปรับปรุงมากที่สุดอีกด้วย


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว