เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2561 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดให้กลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ประสงค์จะจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง มายื่นขอแจ้งเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นวันแรก ปรากฏว่าตลอดทั้งวัน มีกลุ่มการเมืองมายื่นความจำนงค์ขอแจ้งความประสงค์ดังกล่าวถึง 42 กลุ่ม ซึ่งปรากฏเป็นข่าวแล้วว่ามีกลุ่มใดบ้าง ยากที่จะจดจำชื่อเพราะมากมายหลากหลายทั้งกลุ่มเก่าและใหม่ ประชาชนที่สนใจก็สามารถติดตามจากข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่โดยทั่วไปได้ นี่ยังไม่นับรวมพรรคเก่าๆ ที่มีอยู่เดิม เช่น พรรคประชาธิปัตย์, พรรคเพื่อไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา และอื่นๆ ถ้าหากนับถึงวันสุดท้ายคือ 31 มีนาคม 2561 อาจมีพรรคการเมืองเกือบ 100 พรรค ที่ประสงค์จดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง
ประเทศไทยกำลังจะย้อนกลับสู่ยุค 100 พรรคการเมือง ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเบ่งบานอีกครั้งหนึ่ง แต่คุณภาพของพรรคการเมือง และประสิทธิภาพของระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง จะเป็นอย่างไร สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศให้เจริญรุดหน้า สามารถ ปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน ตามเจตนารมณ์ของประชาชนได้หรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ
ประเทศไทยของเรา ได้หยุดการเมืองในระบอบที่เรียกว่า
“ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง” ไว้เป็นเวลาเกือบจะครบ 4 ปีแล้ว เมื่อนับจากการยึดอำนาจการปกครองโดย คสช. ทุกคนหวังว่าภายหลังการยึดอำนาจ ประเทศน่าจะได้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความก้าวหน้าทางการเมืองยิ่งกว่าเก่า หวังว่าการเมืองของประเทศคงจะดีขึ้น นักการเมืองและพรรคการเมือง คงจะได้มีการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นที่พึ่งและความหวังของสังคมได้ ภายใต้การนำของ คสช. ระบบการเมือง การเลือกตั้ง และพรรคการเมืองที่จะเกิดใหม่ คงเป็นทางเลือกและคำตอบของประชาชนได้ เพราะประชาชนทั้งหลายเบื่อและเอียนการเมืองเก่าๆ ที่มีแต่ความล้มเหลวในการบริหาร ได้แต่นักการเมืองขี้โกง ทุจริตฉ้อฉล ปล้นเอาผลประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชนส่วนใหญ่จึงคาดหวังกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่เมื่อพิจารณาถึงรายชื่อกลุ่มการเมือง และคณะบุคคลที่กำลังแสดงตนประสงค์จัดตั้งเป็นพรรคการเมือง ที่ได้ประกาศออกมาแล้ว และกำลังจะประกาศตน ประกอบกับพรรคการเมืองเก่าที่มีอยู่เดิม ดูเหมือนประชาชนน่าจะสิ้นหวัง เพราะยังมิได้ปรากฏว่า มีกลุ่มการเมืองใด พอที่จะเป็นความหวังและทางเลือกใหม่ๆ ให้กับประชาชนได้เลย ทุกคนทุกกลุ่มการเมือง ต่างสนใจที่จะทำอย่างไรให้กลุ่มตนสามารถจดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง และสามารถเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งให้ได้ เพื่อให้มีส่วนแบ่งที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น แต่ละพรรคไม่เคยสนใจและสอบถามประชาชนเลยว่า ประชาชนต้องการพรรคการเมืองแบบไหน อย่างไร? มีแนวทางหรือนโยบายสร้างชาติ พัฒนาประเทศไปในทิศทางใด
เพราะฟังจากการแถลงหรือบอกกล่าววัตถุประสงค์ของการตั้งพรรค ยังไม่เห็นมีกลุ่มใดเอาปัญหาชาติเป็นตัวตั้ง และพรรคของตนจะแก้ปัญหาอย่างไร กลุ่มตนได้รวบรวมผู้คนที่มีความรู้ความสามารถ และมีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ มีศักยภาพที่จะแบกรับภารกิจของบ้านเมืองได้อย่างไร กลุ่มการเมืองดังกล่าวกลับไม่มีปรากฏให้เห็น และคำถามที่สื่อสนใจ กลายเป็นว่า พรรคนี้ กลุ่มการเมืองนั้น จะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ จะหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกฯอีกรอบหรือไม่ การเมืองไทยวันนี้ ก็ยังเวียนวนอยู่ในอ่างนํ้าเน่า หนีออกไม่พ้นวงจรอุบาทว์เดิมๆ มองไม่เห็นอนาคตของการปฏิรูปประเทศแต่อย่างใด
ปะหน้าผู้คนมากมายหลากหลายในสังคม ทุกคนต่างยังถามคำถามตรงกันว่า “จะมีการเลือกตั้งหรือไม่” แม้นายกฯ จะประกาศยืนยันนอนยันหลายครั้ง ผู้คนในสังคมก็ยังไม่มั่นใจและไม่เชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้ง ไม่มั่นใจว่าการเลือกตั้งจะถูกเลื่อนออกไปอีกหรือไม่ ดังปรากฏตามผลสำรวจของ “นิด้าโพลล์” ที่เมื่อถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ประชาชนตอบไม่เชื่อมั่นเลยถึง 25.76% 15.36% บอกว่าเชื่อมั่นน้อย และ 23.76% เชื่อมั่น ค่อนข้างน้อย สรุปก็คือประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นว่าจะมีเลือกตั้งนั่นเอง
ส่วนอีกคำถามที่สำคัญก็คือ
“กลุ่มและพรรคการเมือง ที่ได้ประกาศและแสดงตนออกมานั้น มีกลุ่มหรือพรรคการเมืองใดพอที่จะเป็นความหวังและทางเลือกใหม่ๆให้ประชาชนได้หรือไม่” จึงขอฝากเป็นโจทย์ให้บรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายโปรดนำไปคิดและพิจารณา ความตื่นตัวของประชาชนในโลกยุคเทคโนโลยีิดิจิตอล ทำให้ประชาชนได้เสพข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก ในวงเสวนาของประชาชนผู้สนใจต่อปัญหาบ้านเมืองนั้น มีการศึกษาเปรียบเทียบพรรคการเมืองไทย กับพรรคการเมืองทั่วโลก มีการพิจารณาผู้นำไทยกับผู้นำโลก พวกเขารับรู้ได้แทบจะทุกประเทศว่าพรรคการเมืองใด ผู้นำประเทศใดเก่งหรือไม่เก่ง มีฝีมือในการบริหารจัดการประเทศแค่ไหนเพียงใด กล้าหาญกล้าตัดสินใจในเรื่องใดหรือไม่
ดังนั้นพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้น จึงไม่ควรดูถูกประชาชน สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องสนใจศึกษาถึงความเรียกร้องต้องการของประชาชน สถานการณ์บ้านเมืองยามนี้ ประชาชนต้องการ1. ผู้นำที่มีจุดยืนอันเป็นที่ประจักษ์ว่าทำเพื่อชาติ ประชาชน 2. เข้าใจปัญหาประเทศ มีแนวทางแก้ปัญหาชาติได้แท้จริง 3. มีวิสัยทัศน์ พัฒนาชาติ สอดคล้องการพัฒนาโลกและการเปลี่ยนแปลง 4.มีความเป็นผู้นำและบุคลากร ที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์ต่อประชาชน เป็นทีมงาน 5.ต้องกล้าหาญ กล้าปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเด็ดขาดจริงจัง
พรรคใดมีคุณสมบัตินี้ ก็ยึดกุมหัวใจประชาชนได้เลย ไม่ว่าจะมาจากทหารหรือพลเรือน ถ้าปราศจากคุณสมบัติดังกล่าว ก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จ
.....................
คอลัมน์ : ข้าพระบาท ทาสประชาชน /หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /ฉบับ 3346 ระหว่างวันที่ 8-10 มี.ค. 2561