ยืนยันชัดเจนครับว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เตรียมนำเข้ารถยนต์ 4 ประตูสไตล์คูเป้ “ซีแอลเอส โฉมใหม่” มาเปิดตัวในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ปลายเดือนมีนาคมนี้
[caption id="attachment_266181" align="aligncenter" width="503"]
Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+[/caption]
ยุคใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ดุดัน ทำงานไว จน “เกรย์มาร์เก็ต” ได้แต่มองตาปริบๆ ทั้งที่เมื่อก่อน “ซีแอลเอส” ถือเป็นอีกหนึ่งขุมทรัพย์ใหญ่ที่ขายกันแบบเป็นลํ่าเป็นสัน หรือในเจเนอเรชันแรกและเจเนอเรชันที่ 2(ก่อนรุ่นเฟสลิฟต์) รถที่วิ่งอยู่บนท้องถนนเมืองไทย เกินครึ่งไม่ได้มาจากการขายของดีลเลอร์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย!
คงไม่ต้องฉายภาพซํ้ากันแล้วครับว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของธุรกิจรถหรูไปอย่างไรบ้าง เพราะ 4-5 ปีหลัง ยิงกระสุนแต่ละนัด “โดน ปัง ปัง” สะดุ้งกันทั้งตลาด
ปีที่แล้ว “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแบรนด์รถหรูที่ขายมากที่สุดในโลก 2.29 ล้านคัน (เฉือนบีเอ็มดับเบิลยู) ส่วนเมืองไทยปิดยอดไปกว่า 1.4 หมื่นคัน สูงสุดตั้งแต่ทำธุรกิจมา และครองเจ้าตลาดรถหรู 17 ปีซ้อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มโปรดักต์ไลน์อัพใหม่ๆ และกลุ่มเอสยูวีที่ตลาดเติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม รถยนต์รุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้แบรนด์พร้อมทำยอดขายได้ตามสมควรอย่าง “ซีแอลเอส” ก็ไม่ถูกมองข้าม (ปัจจุบันมียอดขายสะสมทั่วโลก 3.75 แสนคัน) และเพื่อให้สมกับเป็นผู้บุกเบิกตลาดรถคูเป้ 4 ประตู ดังนั้นรุ่นใหม่เจเนอเรชันท ี่3 จึงพัฒนาให้ไฉไลกว่าเดิมในหลายๆมิติ
สัปดาห์ที่แล้วหรือวันที่ 1-2 มีนาคม ผมมีโอกาสบินไปร่วมทดสอบ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส โฉมใหม่” ถึงเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ซึ่งการเดินทางเกือบ 20 ชม.(รวมต่อเครื่อง) อันแสนราบรื่น แต่เมื่อไปถึงเมืองใหญ่แห่งแคว้นคาตาลุนญา ผมเสียดายอยู่ 2 เรื่องคือ 1.สภาพอากาศไม่เป็นใจ โดนทั้งความหนาวระดับเลขตัวเดียว และหมอกหนา ปรอยฝนในเส้นทางขึ้น-ลงเขา การทดสอบรถต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ส่วนข้อที่2 คือ “ซีแอลเอส โฉมใหม่” ที่ได้ขับหลายๆ โมเดล ตั้งแต่ ดีเซล 350d 400d และเบนซิน 450 ไปจนถึง “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ซีแอลเอส53” ล้วนเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ที่ (ยัง) ไม่ขายในเมืองไทย เพราะเขาตั้งใจเปิดตัวด้วยรุ่น 300d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร ก่อน
…แต่เอาละครับ แม้สมรรถนะที่ขับอาจจะไม่ตรงกับรุ่นที่จะทำตลาดในเมืองไทยเสียทีเดียว แต่ก็พอรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของรถยนต์รุ่นนี้ได้พอสมควร
สำหรับ “ซีแอลเอส โฉมใหม่” เป็นรถที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ “อี-คลาส” W213 ทว่าตัวถังมีความยาวมากกว่า และเน้นรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว หรือเทียบกับ “ซีแอลเอส โฉมเก่า” พบว่ารุ่นใหม่ใหญ่กว่าเดิมทุกมิติ
ภายในเหมือนยกแดชบอร์ดและหน้าจอแสดงผลแบบ widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้วต่อกัน 2 จอ มาจาก “อี-คลาส” แต่ที่เห็นว่าต่างกันแน่ๆคือช่องแอร์ ที่ “ซีแอลเอส” จะเป็นใบพัดต่างจาก “อี-คลาส”ที่เป็นครีบแบบเรียบๆ ขณะเดียวกันยังเลือกสีไฟเรืองแสงแสดงอารมณ์ภายในห้องโดยสารได้ถึง 64 เฉด
พวงมาลัยหุ้มหนังแบบท้ายตัด(D Shape)ฝังปุ่มควบคุมแบบมัลติฟังก์ชัน ซึ่งปุ่มที่ผมเห็นสำคัญๆบนพวงมาลัยนี้คือ การเลือกสั่งงานระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติหรือ Driving Assist ได้เพียงปลายนิ้ว
โดยการขับบนทางด่วนที่เมืองบาร์เซโลนา ที่ถนนเรียบและกว้าง มีเส้นแบ่งช่องจราจรชัดเจน ระบบนี้ทำงานได้แม่นยำ ผมลองปล่อยมือขับได้สบายๆ (แต่ระบบจะเตือนให้คุณต้องคอยจับพวงมาลัยเป็นระยะๆเพื่อยืนยันว่าคุณไม่ได้หลับ)
อย่างไรก็ตาม “ซีแอลเอส โฉมใหม่” ที่ทำตลาดในเมืองไทยยังไม่ใส่ออพชันนี้เต็มรูปแบบ อาจจะมีเพียงระบบช่วยรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า และระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในภาพใหญ่ของ Driving Assist Package
การมาบาร์เซโลนาครั้งนี้ ผมได้ลอง “ซีแอลเอส” ครบทุกรุ่นเครื่องยนต์ที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ให้ สมรรถนะในภาพรวมของรุ่นปกติ 350d 400d และเบนซิน 450 ออกแนวนุ่มนวลขับสบายและให้พลังมาเหลือเฟือ แต่เมื่อขยับไปเป็น “Mercedes-AMG CLS53 4MATIC+” ต้องบอกว่าเหนือขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากรูปลักษณ์ที่ต่างไป ด้วยกระจังหน้า สเกิร์ตรอบคัน ปลายท่อไอเสียคู่ 2 ฝั่งที่รับกับดิฟฟิวเซอร์และสปอยเลอร์หลังแล้ว “Mercedes-AMG CLS53 4MATIC+” ยังมาพร้อมช่วงล่างแบบถุงลม Airmatic ยิ่งช่วยให้นุ่มหนึบและปรับระดับได้ตามสภาพการขับขี่
ด้วยความแรงจากเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบ 435 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.แค่ 4.5 วินาที คล้ายๆกับเรากำลังควบคุมปิศาจร่างยักษ์ตัวหนึ่ง เมื่อเลือกไปโหมด Sport หรือ Sport+ แอบสัมผัสได้ดึงอาการพยศเล็กๆ ต้องใช้สมาธิในการขับสูงขึ้น(อาจจะเป็นเพราะรถพวงมาลัยซ้ายและสภาพแวดล้อมการขับขี่ที่ต่างไป)
ไฮไลต์ของ “ซีแอลเอส โฉมใหม่” ยังมาพร้อมระบบ EQ Boost ด้วยมอเตอร์/เจเนอเรเตอร์ (ปั่นไฟกลับไปเก็บในแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออน) ที่ติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ช่วยเพิ่มแรงม้าให้กับรถได้อีก 22 ตัว ขณะเดียวกันระบบนี้ยังช่วยการสตาร์ตเครื่องยนต์เป็นไปอย่างราบรื่นหรือดีกว่าไดสตาร์ตทั่วๆไป
เหนืออื่นใดในรุ่น“Mercedes-AMG CLS53 4MATIC+” จะมีคอมเพรสเซอร์ไฟฟ้า เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตัวช่วยเสริมระบบอัดอากาศอย่างรวดเร็ว หรือลดอาการรอรอบจากวิธีการนำไอเสียวนกลับมาใช้ใหม่เพียงอย่างเดียว
... EQ Boost อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกบล็อก 6 สูบเรียงลงมาประจำการแทน วี6 เดิม และมากไปกว่านั้นผมแอบสอบถามได้ความว่า บล็อก 6 สูบเรียงใหม่นี้ วิศวกรยังพัฒนาเรื่องของนํ้าหนัก และขนาดให้ใกล้เคียงกับบล็อกวี 6 ได้อีกด้วย
ส่วนเมืองไทยยังไม่ต้องไปคิดถึงบล็อก 6 สูบเรียงและ EQ Boost ครับ เพราะรุ่น 300d จะวางเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 245 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 6.4 วินาที ซึ่งดูทรงแล้วดีกว่า 250d ที่วางเครื่องดีเซล 2.1 ลิตร 204 แรงม้า ประกบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแน่ๆ
รวบรัดตัดความ...ตัวรถเตี้ยแต่ยาวเหยียด เลย์เอาต์เครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง “ซีแอลเอส โฉมใหม่” พยายามรักษาสมดุลระหว่างพละกำลัง ช่วงล่าง การควบคุม และการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ให้ลงตัวมากขึ้น ถือเป็นความสปอร์ตที่แตกต่างจากโมเดลหลักๆ ทัศนวิสัยที่บีบแคบแลกกับสมรรถนะที่กระปรี้กระเปร่าถือว่าสมเหตุสมผลกับฐานานุรูป
ขณะที่เมืองไทยเลือกวางแค่ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร แม้ประสิทธิผลจะดีกว่ารุ่นเก่า 250d แต่ก็ดูไม่ทันสมัยตามโลก หรืออาจจะต้องรอให้ระบบ “ไมลด์ไฮบริด” แบบนี้ได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลก่อนเราถึงจะได้เห็น EQ Boost หรือ Mercedes-AMG CLS53 4MATIC+ มาขายเมืองไทย?
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,346 วันที่ 8 - 10 มีนาคม พ.ศ. 2561