เมื่อโลกเปลี่ยนไป และก.ม.ล้าสมัย ถึงเวลาแล้ว...ที่จะต้องปฏิรูป

10 มี.ค. 2561 | 05:32 น.
หลักสูตรผู้บริหารหลักนิติธรรม (TIJ Executive Program on the Rule of Law and Development: RoLD) รุ่นที่ 2 ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ได้เชิญ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเสวนาใน หัวข้อ “Thailand’s Journey on Regulatory Guillotine” ร่วมกับคุณกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมและกรรมการในคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน และ คุณปกรณ์ นิล-ประพันธ์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งได้เผยถึงเส้นทางการปฏิรูปกฎหมายของไทย พร้อมระบุกฎหมายบางอย่างล้าสมัยแล้ว ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องทันกับโลกปัจจุบัน และเป็นเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนา

[caption id="attachment_94565" align="aligncenter" width="335"] ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[/caption]

ผู้ร่วมเสวนากล่าวถึงสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ว่าเป็นยุคแห่งการสร้างฐานรากไว้ให้คนรุ่นหลังได้มีชีวิตที่ดี แต่ในปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่ยังไม่เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลง จากข้อมูลพบว่า ประเทศ ไทยมีกฎหมายพระราชบัญญัติกว่า 650 ฉบับ แต่ถ้าระดับกฎกระทรวง ระเบียบและคำสั่งต่างๆ จะมีมากกว่า 1 แสนฉบับ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับทุกมิติของการดำเนินชีวิต แต่ 90% ของกฎหมายยังเป็นลักษณะควบคุม
(Control) คือเป็นระบบอนุมัติ อนุญาต ซึ่งทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกจากบริการภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งผลให้การทำธุรกิจมีความ ยากลำบาก เกิดความล่าช้า เพราะการทำธุรกรรมต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ

การมีกฎหมายเป็นจำนวนมากและซับซ้อนยังส่งผลให้ประชาชนถูกลิดรอนสิทธิ์ ในขณะเดียวกันกฎหมายที่ล้าสมัยก็เป็นต้นทุนของประเทศ เพราะคิดเป็นมูลค่าต่อปีราว 10-20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปกฎหมายให้ทันยุคสมัย ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น

ที่ผ่านมา โลกได้ปรับเปลี่ยนทิศทางการใช้กฎหมายให้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนา ในอดีตเป้าหมายของการใช้กฎหมายคือเพื่อควบคุม และหลังจากนั้น ได้มีแนวคิดในการให้เอกชนควบคุมกันเอง (Deregulation) แต่ก็เกิดปัญหาภาวะภัยทางศีลธรรม
(Moral Hazard) จึงได้มีการเปลี่ยนแนวคิดเป็นการควบคุมโดยรัฐที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น

ต่อมาในปี 2555 ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ทำให้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายมาเป็นการควบคุมโดยรัฐแต่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น (Better Regulations for Better Lives) และเป็นเครื่องมือไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน แต่กฎหมายไทยยังคงเป็นแนวคิดแบบการควบคุม จึงจำเป็นต้องปรับให้มีประสิทธิภาพตามยุคสมัยเพื่อให้สอด คล้องกับบริบทการพัฒนาของโลก

ในการปฏิรูปกฎหมายสำหรับประเทศไทยนั้น สามารถดำเนินการได้ 2 ส่วนควบคู่กันไปคือ “การสะสางกฎหมายเดิม” ซึ่งก็คือการยกเลิกกฎหมายเดิมที่ล้าสมัยที่มีลักษณะควบคุมลิดรอนสิทธิ์และซับซ้อน ด้วยเครื่องมือ Regulatory Guillotine ซึ่งคัดกฎหมายออกในปริมาณมาก

แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์-2 ในอีกส่วนหนึ่งคือ “การออกกฎหมายใหม่” ซึ่งได้ส่งเสริมให้ใช้หลักการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบคอบด้วยเครื่องมือ Regulatory Impact Assessment-RIA คือการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมาย ซึ่งจะสามารถบอกได้เป็นอย่างดีว่ากฎระเบียบที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร ทั้งนี้ในการปฏิรูปกฎหมายทั้ง 2 ส่วนนั้น ความมุ่งมั่นในการปฏิรูปของฝ่ายการเมือง (Political will) นับเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องตัดสินใจและดำเนินการอย่างจริงจัง

จะเห็นได้ว่า ตลอดกระบวน การที่จะทำให้เรามีกฎหมายที่ดีนั้น จำเป็นต้องใช้หลักนิติธรรม เพราะหลักนิติธรรมจะให้ความสำคัญกับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน กฎหมายที่ได้จึงมาจากความเห็นชอบของประชาชน และมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งลดความเหลื่อม ลํ้าในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และตอบสนองต่อคนทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกันทำให้เชื่อมั่นได้ว่าสังคมเราจะสามารถก้าวเข้าสู่โลกยุค 4.0 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,346 วันที่ 8 - 10 มีนาคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว