จุฬาฯเปิดหลักฐานใหม่สถานการณ์กัดเซาะชายฝั่งปี61รุนแรงมากขึ้น!

27 ก.พ. 2561 | 12:02 น.
จุฬาฯ เปิดหลักฐานใหม่ สถานการณ์กัดเซาะชายฝั่งของไทยปี 2561 รุนแรงมากขึ้น!

27 กุมภาพันธ์ 2561 ณ.ห้องประชุม 421 อาคารภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการจัดเวทีเสวนาสาธารณะ TGWA ครั้งที่ 8 เรื่อง “สถานการณ์กัดเซาะชายฝั่งปี 2561: ทช ประกาศไทยหลุดพ้นวิกฤติกัดเซาะแล้ว…จริงหรือ?”

ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพง์สกุล ประธานสถาบันโลกร้อนศึกษาประเทศไทย มูลนิธินภามิตรและอาจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวนำวัตถุประสงค์ของการเสวนาครั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนและสาธารณะเข้าใจข้อมูลที่แท้จริงของสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งในประเทศไทย ปี 2561 ตอนหนึ่งว่า มีความไม่สบายใจที่หน่วยงานรัฐ ออกมาประกาศว่าชายหาดไทยหลุดพ้นวิกฤตปัญหากัดเซาะเมื่อเร็วๆนี้

จากการศึกษาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยมาต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2533 พบว่าประเทศไทยเริ่มพบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปี 2535-36 ที่หาดบางเทา จังหวัดภูเก็ต บางพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาสและบริเวณอ่าวไทยตอนบนรูป ก และต่อมาในปี พศ. 2549 ได้จัดทำรายงานสถานการณ์การกัดเซาะของประเทศไทยให้กับทางธนาคารโลก
tanaw

"พบว่าการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยในห้วงเวลานั้น มีพื้นที่กัดเซาะขั้นรุนแรง (อัตรากัดเซาะมากกว่า 5 เมตรต่อปี) ทั่วประเทศมีระยะทางยาวประมาณ 599 กม. หรือคิดเป็น 21% ของความยาวชายฝั่งทั่วประเทศไทย"

ต่อมาทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ในปี 2551โดยมีการระดมแผนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ทช. กรมเจ้าท่า กรมโยธาธิการและผังเมือง องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นและจังหวัดริมชายฝั่งทะเลทั้ง 23 จังหวัดทั่วประเทศ สถานการณ์การกัดเซาะของประเทศไทยทวีความรุนแรงมากขึ้น ในปี 2556 พบว่าพื้นที่การกัดเซาะรุนแรงทั่วประเทศมีระยะทางยาว 830 กม. หรือคิดเป็น 30% ของความยาวชายฝั่งทั่วประเทศ สรุปสถานการณ์กัดเซาะชายฝั่งทะเลในปัจจุบัน พื้นที่กัดเซาะชายฝั่งรุนแรงมากขึ้นทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน

โดยเฉพาะพื้นที่กว่า 600 กิโลเมตร ที่ภาครัฐได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยวิธีต่างๆ เช่น เขื่อนกันคลื่นแบบต่างๆ เขื่อนกันตะกอนปากร่องน้ำ กำแพงกันคลื่นแบบต่างๆ การปักแนวไม้ไผ่กันคลื่น แนวกระสอบทรายกันคลื่น นั้นพบว่าการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณแนวใกล้โครงสร้างเหล่านั้นลดความรุนแรงลงได้บ้างในหลายแห่งการกัดเซาะดูเหมือนจะหยุดและดีขึ้นบ้าง
แต่พบว่าการกัดเซาะยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริเวณพื้นท้องทะเลนอกชายฝั่งออกไป สถานการณ์การกัดเซาะทำให้พื้นท้องทะเลถูกกัดเซาะลึกขึ้น 1-2 เมตรและบางแห่งมีการกัดเซาะชายฝั่งพื้นท้องทะเลลึกมากกว่า 4 เมตร
sea

ปัจจุบันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอยู่ในขั้นวิกฤติรุนแรงมากขึ้น ทำให้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลทั่วประเทศถูกน้ำทะเลกัดเซาะลึกเข้ามาตั้งแต่ 50 เมตรถึงมากกว่า 1 กิโลเมตร ประเทศไทยเสียพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลจากปัญหาการกัดเซาะทั้งสิ้น 79,725 ไร่ทั่วประเทศ และทำให้สูญเสียบริเวณพื้นที่ชายหาดโคลน ชายหาดทรายและสันทรายใต้น้ำอีกประมาณ 227,937 ไร่ทั่วประเทศ

ศ.ธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่าสถานการณ์การกัดเซาะประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น เสนอแนะให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบดำเนินการดังต่อไปนี้:

1) สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งประเทศมีความรุนแรงมาก ควรบรรจุปัญหานี้เป็นวาระแห่งชาติให้มีการแก้ไขโดยเร่งด่วน และให้ยกประเด็นการกัดเซาะชายฝั่งไว้ในประเด็นปฎิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติในการแก้ไขปัญหาในระยะยาว 20 ปีต่อไป
บาร์ไลน์ฐาน

2) ขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช) กรมเจ้าท่า กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เร่งการปฎิรูปองค์กรและยกเครื่ององค์ความรู้ด้านการกัดเซาะชายฝั่งทั้งระบบ ให้สามารถเป็นเสาหลักในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบูรณาการในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานอื่นได้

3) ขอให้นักวิชาการและที่ปรึกษาของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ลดการสร้างความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ลดการมุ่งโจมตีหน่วยงานอื่นๆที่มีหน้ารับผิดชอบการแก้ไขปัญหาการกัดเชาะชายฝั่งด้วยกัน อันจะก่อให้เกิดความสับสนของประชาชนในมาตรการของรัฐที่ไม่มีเอกภาพในการแก้ไขปัญหาประเทศทั้งระบบ

4) ขอให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน มีแผนงานบูรณาการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศร่วมกันแบบมีเอกภาพ โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องและเชื่อถืออ้างอิงได้ สามารถลดความเสียหายทั้งระยะสั้นและระยะยาวของประเทศได้ต่อไป

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว