เอไอเอสทุ่ม 3.8 หมื่นล้าน อัพเครือข่ายสู่เน็กต์เจนฯ-เปิดตัว 3 แพลตฟอร์ม

“เอไอเอส” ทุ่ม 3.8 หมื่นล้าน พัฒนาเครือข่ายมือถือสู่ เน็กต์ เจนเนอเรชัน รองรับความเร็ว 1GB พร้อมเปิดตัว 3 แพลตฟอร์ม ไอโอที, วิดีโอ และ วีอาร์ ชูจุดแข็ง NB-IoT และ eMTC ขยายโครงข่าย

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า ปีนี้ เอไอเอส ใช้งบประมาณกว่า 3.5-3.8 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาเครือข่ายมือถือสู่ Next Generation ที่รองรับการใช้งานถึง 1 GB ด้วยการขยายเครือข่าย Narrow Band IoT (NB-IoT) และ eMTC (enhanced Machine-Type Communication) เทคโนโลยีเครือข่ายมาตรฐานที่ควบคู่กับเทคโนโลยี NB-IoT โดยจะช่วยสนับสนุนการใช้งานไอโอทีแบบเคลื่อนที่ สามารถรับ/ส่ง ข้อความเสียงในอุปกรณ์ ไอโอที

[caption id="attachment_262428" align="aligncenter" width="423"] สมชัย เลิศสุทธิวงค์[/caption]

ในขณะที่ NB-IoT จะเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานของอุปกรณ์และสามารถสื่อสารได้ในระยะไกล โดยจะเริ่มต้นทั่วกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ 9 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีการนำวิดีโอ คอนเทนต์ ใหม่ๆ อย่างซีเอ็นเอ็น และการ์ตูนเน็ตเวิร์ก เข้ามาให้บริการลูกค้าเอไอเอสโดยเฉพาะ

ปัจจุบันนั้นเรียกได้ว่าเป็นยุคของ Internet of Things (IoT) ที่จะเข้ามาเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศให้ขับเคลื่อนตามนโยบาย Thailand 4.0 เนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตของไทยที่มีมากกว่า 45 ล้านคนหรือคิดเป็น 67% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยกว่า 70% หรือราว 47.9 ล้านคนมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยพบว่าในปี 2559 คนไทยใช้งานดาต้าประมาณ 3.8 GB ต่อคนต่อเดือน และเพิ่มขึ้น 7.3 GB ในปี 2560

ขณะที่ในปี 2561 คาดว่าจะมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นถึง 10 GB อีกทั้งพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของคนไทยในปี 2559 มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อวัน ปี 2560 เพิ่มขึ้นถึง 4.8 ชั่วโมงต่อวัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกว่า 41 ล้านคนมีการรับชมวิดีโอ สตรีมมิ่งบนมือถือ นอกจากนี้การรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ทางโทรทัศน์ที่มีการเปลี่ยนไปสู่การรับชมผ่านสมาร์ทดีไวซ์มากถึง 80%

อย่างไรก็ตาม ระบบการบริหารจัดการในรูปแบบเดิมๆ ไม่สามารถนำมาใช้งานได้กับคนในยุคปัจจุบันและในอนาคต ดังนั้นจึงต้องมุ่งเน้นถึงการมีแพลตฟอร์มที่ดี ซึ่งเชื่อว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือปี 2564 จะเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน การใช้งานไอโอทีจะเพิ่มขึ้นมากมาย รวมถึงผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ซึ่ง เอไอเอส มองว่าสิ่งที่สำคัญคือ การมีดิจิตอล แพลตฟอร์มสำหรับประเทศไทยและเป็นของคนไทยเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ

นอกจากนี้แล้ว เอไอเอส ได้เปิด 3 แพลตฟอร์มสำคัญ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย 1. AIS IoT Alliance Program-AIAP : โครงการความร่วมมือขององค์กรหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย สตาร์ตอัพ นักพัฒนาอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไอโอที ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ บริการ หรือโซลูชัน เพื่อให้เกิดการพัฒนา โซลูชันหรือโมเดลธุรกิจ ร่วมกันและก่อให้เกิดประโยชน์สู่ภาคประชาชน

ส่วนแพลตฟอร์ม์ที่ 2 The Play 365 : Local VDO Platform ที่เปิดโอกาสให้ศิลปิน สื่อมวลชน นักสร้างสรรค์ คอนเทนต์ทุกวงการสามารถนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยทุกคน โดยเอไอเอสจะสนับสนุนเงินทุนบางส่วนในการสร้างคอนเทนต์ พร้อมโครงสร้างรายได้และโมเดลที่เหมาะสม สอดคล้องกับตัวเลขผู้ชมที่แท้จริง เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ผลิตคอนเทนต์ของไทย และ AIS IMAX VR : VR Content Platform ที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาวีอาร์ คอนเทนต์ สามารถเรียนรู้จากผู้ผลิต อย่าง IMAX พร้อมโครงการวีอาร์ คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ โปรแกรม ที่เอไอเอสได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเวทีของการสร้างคอนเทนต์ วีอาร์ให้กับอุตสาหกรรม

“จากความพร้อมของเทคโนโลยีดิจิตอลที่ภาครัฐ และเอกชนได้ร่วมกันพัฒนาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภค การบริหารจัดการองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว โดยปีนี้คือช่วงเวลาสำคัญที่คนไทยจะต้องผนึกกำลังสร้างสรรค์ดิจิตอล แพลตฟอร์มของไทย เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นส่งผล ต่อภาคธุรกิจต่างๆ ทำลายล้างความ ล้าสมัย แต่ในอีกด้านก็ทำให้เกิดโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หากรู้จักใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ก็จะสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมาก” นายสมชัย กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,343 วันที่ 25 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561