ไทยออยล์ทุ่มกว่าแสนล้าน ขยายโรงกลั่นสวนกระแส

14 ม.ค. 2559 | 07:30 น.
ไทยออยล์โละหน่วยกลั่น 1-2 เตรียมลงทุนสร้างใหม่เพิ่มกำลังการผลิตจาก 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ใช้เงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท สรุปลงทุนภายในปลายปีนี้ ขณะที่ ปตท.สผ.ชะลอลงทุนหลายโครงการเหตุราคาน้ำมันตกต่ำ แต่ยังคงกำลังการผลิตระดับ 3.3 แสนบาร์เรลต่อวัน

นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโครงการปรับปรุงหน่วยการกลั่นน้ำมันดิบ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตภายใต้โครงการ (Clean Fuel Project : CFP) โดยจะพิจารณาก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ทดแทนหน่วยกลั่นที่ 1 และ2 ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการกลั่นรวมประมาณ 1 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากมีการใช้งานมาแล้วกว่า 50 ปี จึงเป็นเทคโนโลยีเก่า ส่วนหน่วยกลั่นที่ 3 กำลังการผลิต 1.5-1.7 แสนบาร์เรลต่อวัน ยังคงไว้ เพราะมีอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น ดังนั้นหน่วยกลั่นใหม่ที่จะเข้ามาทดแทน เป็นเทคโนโลยีใหม่ และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภายหลังจากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จโรงกลั่นไทยออยล์จะกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน

โดยปัจจุบันไทยออยล์อยู่ระหว่างขั้นตอนเตรียมเอกสารด้านรายละเอียดวิศวกรรม คาดว่าผลศึกษาจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2559 ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.08-1.44 แสนล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) หากสามารถสรุปได้ภายในปีนี้ จะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 4 ปี ซึ่งภายหลังโครงการปรับปรุงหน่วยกลั่นแล้วเสร็จจะทำให้มีการผลิตน้ำมันดีเซลและแนฟทาเพิ่มขึ้น ขณะที่น้ำมันเตาก็จะลดลงด้วย โดยจะสอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เติบโตขึ้น โดยเฉพาะการป้อนความอต้องการให้กับภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ ไทยออยล์เตรียมงบลงทุน 5 ปี (2559-2563) ไว้ที่ 4-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่หรือประมาณ 80% ใช้สำหรับโครงการปรับปรุงหน่วยกลั่น รวมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การขยายท่าเทียบเรือ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสด 4-5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้สำหรับขยายโครงการลงทุนในอนาคต สาเหตุที่บริษัทมีกระแสเงินสดจำนวนมาก มาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง เงินที่ใช้สต็อกน้ำมันก็ลดลง

นายอธิคม กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ายังเติบโตจากปีก่อน ซึ่งรับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา ยอดใช้กลุ่มเบนซินเติบโตมากกว่า 10% ประกอบกับโรงกลั่นน้ำมันใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดน้อยลง โดยเฉพาะโรงกลั่นในจีนที่จะไม่มีโรงกลั่นขนาดใหญ่เข้ามาในช่วงนี้ ทำให้เกิดความตึงตัวด้านดีมานด์ซัพพลาย ดังนั้นในปีนี้เชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโตต่อเนื่อง

นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงอย่างมาก ทำให้ ปตท.สผ. ตัดสินใจชะลอบางโครงการออกไปก่อน อาทิ การพัฒนาโครงการออยล์แซนด์ในแคนาดา แหล่งก๊าซในออสเตรเลีย และแหล่งก๊าซ M3 ในเมียนมาร์ เพื่อรอระดับราคาน้ำมันที่เหมาะสมต่อการลงทุน อย่างไรก็ตามในส่วนของแหล่งที่ผลิตอยู่แล้ว ก็จะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อรักษาระดับกำลังการผลิตไว้ที่ 3.3 แสนบาร์เรลต่อวัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,122 วันที่ 14 - 16 มกราคม พ.ศ. 2559