“มารยาท” และ “สปิริตทางการเมือง” มีความจำเป็นสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและลากตั้ง เพราะมารยาทและสปิริต คือศรัทธาที่เกิดขึ้นกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากศรัทธาสูญสิ้น การดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะไร้ความหมาย แม้จะมีอำนาจแต่ไร้ซึ่งความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของผู้คน
การที่ น.พ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ไม่แสดงความรับผิดชอบต่อการได้แสดงความเห็นเชิงปฏิปักษ์ต่อรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล อย่างลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถือว่าไม่ค่อยสง่างามในการร่วมคณะรัฐมนตรี เพราะการไปแสดงความเห็นต่อหน้าชุมชน นักเรียนไทยและพูดจากับนักข่าวบีบีซี ในกรณี “นาฬิกาหรู” ของลุงป้อม ที่ออกมาว่าถ้าเป็นตัวเขาถูกเปิดโปง แม้เรือนเดียว ก็จะพิจารณาลาออก ไม่ต้องรอถึง 25 เรือน
เขียนเรื่องนี้หาได้ปกป้อง พล.อ.ประวิตร เรื่องการตรวจสอบก็ต้องจับตา ป.ป.ช.ว่าทำอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ พล.อ. ประวิตร ชี้แจงได้อย่างน่ารับฟังหรือไม่ แต่ที่ยกมาขณะนี้คือ “มารยาททางการเมือง” ในการร่วมคณะรัฐมนตรี และจุดยืนของน.พ.ธีระเกียรติ ที่ควรจะมีความชัดเจน
“กรณีมารยาททางการเมือง” น.พ. ธีระเกียรติ ยอมรับว่าผิดมารยาททางการเมือง และได้ขอโทษพล.อ.ประวิตรต่อหน้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในการเรียกไปเจอกัน ณ ตึกไทยคู่ฟ้าทันทีที่กลับจากลอนดอน แต่กรณีจุดยืนต่อการแสดงความเห็นในกรณีนาฬิกา 25 เรือน น.พ.ธีระเกียรติ เลือกโยนความผิดให้สื่อเสมือน “กระโถนท้องพระโรง” มากกว่าจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูดไป
น.พ.ธีระเกียรติ ไม่สามารถกล่าวอ้างเพื่อเอาตัวรอดได้ว่า “ถูกแอบอัดเทป” เพราะคนระดับรัฐมนตรีย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าการพูดต่อสาธารณะ หรือกับสื่อ จะมีการอัดเทปหรือไม่ แต่ทั้งหมดคือ “การตั้งใจพูด” เมื่อตั้งใจพูดก็ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดที่จะต้องไม่ปัดความรับผิดชอบและต้องคงจุดยืนความคิดตัวเอง “จุดยืน” นี่สำคัญกว่าตำแหน่งทางการเมือง อย่าไปให้คนอื่นคิดว่า เรามีจุดยืนแค่อยู่ที่ “ส้นเท้า”
................
คอลัมน์ : ที่นี่ไม่มีความลับ / หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ / ฉบับ 3341 ระหว่างวันที่ 18-21 ก.พ.2561