จับตาเทรนด์ไอที ปี 2561 เสริมแกร่งองค์กรยุคดิจิตอล

18 ก.พ. 2561 | 23:05 น.
TP07-3341-1 กระแสการเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคเศรษฐกิจดิจิตอล ณ ปัจจุบัน ได้พลิกโฉมต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจและวิถีชีวิตของผู้คนแบบไม่เคยเป็นมาก่อน องค์กรที่สามารถปรับกระ บวนทัศน์ทางธุรกิจได้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์และเหมาะสม ย่อมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน อยู่รอดแข็งแกร่ง และเป็นผู้นำทางธุรกิจในยุคดิจิตอล

เทรนด์ไอที ปี 2561 จึงยังคงมุ่งสร้างดิจิตอลแพลตฟอร์มที่ไม่เพียงแต่จะพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร แต่จะมุ่งสู่ความสำเร็จสูงสุดจากการสร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจที่แปลกและใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่ไร้ข้อจำกัดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจแบบอีโคซิสเต็มส์ (Ecosystem) เพื่อดึงดูดลูกค้าให้อยู่กับสินค้าและบริการ การสร้างแพลตฟอร์มตลาดการค้า ดิจิตอล (Platform Economy) ที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถโต้ตอบกับแบบอินเตอร์แอกทีฟมากขึ้น หรือการใช้ไอโอที (Internet of Things:IoT) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence:AI) แมชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning:ML) การยึดข้อมูลเป็นศูนย์กลาง (Data- Centric) ที่หวังผลทางธุรกิจและความได้เปรียบ

++มุ่งสู่คลาวด์แบบไฮบริด
ข้อมูลจากเว็บไซต์คลาวด์ คอมพิวติ้งดอทคอม (cloudcomputing.com) คาดว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้า หลายองค์กรที่ใช้งานคลาวด์ไประยะหนึ่งจะเริ่มพิจารณาถึงการมีคลาวด์ไว้ใช้งานในองค์กร (On-premise) คู่ขนานไปกับการใช้งานคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) ทำให้คลาวด์แบบไฮบริด (Hybrid Cloud) ซึ่งเป็นการผสมผสานคลาวด์ 2 รูปแบบข้างต้นมีการใช้งานเพิ่มขึ้น เห็นได้จากธุรกิจบริการทางการเงินได้เพิ่มสัดส่วนการติดตั้งคลาวด์ในองค์กรและมีการพัฒนาแอพพลิเคชันสำหรับคลาวด์ในองค์กรที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มเห็นว่าคลาวด์แบบไฮบริดสามารถตอบโจทย์การทำงานในแบบมัลติเลเยอร์ (Multilayer) ได้สมบูรณ์มากกว่า โดยเฉพาะทำให้องค์กรสามารถจัดสรรทรัพยากรไอทีบนคลาวด์ได้อย่างเหมาะสมระหว่าง งบประมาณการลงทุนด้านไอที โอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ การจัดการด้านความปลอดภัยและการกระจายความเสี่ยงจากภัยคุกคามที่มีต่อระบบงานต่างๆ เช่น งานที่อยู่ในกระบวนการทำงานหลักของธุรกิจ หรือ Core Business อาจจะเหมาะสมกับการใช้งานคลาวด์ภายในองค์กรเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามหรือปัจจัยเสี่ยงด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ขณะที่การสื่อสารด้วยอี-เมล์ การจัดการงานเอกสารทั่วไปอาจใช้บริการแอพพลิเคชันผ่านบริการคลาวด์สาธารณะ เป็นต้น

บาร์ไลน์ฐาน นอกจากนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้องค์กรต่างๆ สามารถผสมผสานการใช้งานคลาวด์ทั้ง 2 รูปแบบเพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการงานจากศูนย์กลางข้ามไปมาระหว่างแพลตฟอร์มที่แตกต่างหลากหลายโดยไม่ต้องกังวลถึงความไม่เข้ากันของอุปกรณ์ (Com pliances) ทำให้ยืดหยุ่นต่อการโยกย้ายงานตามความจำเป็น

เครื่องมือบริการหลากหลายรูปแบบบนคลาวด์แบบไฮบริด อย่าง SaaS IaaS หรือ PaaS ที่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม ยังหนุนเสริมองค์กรในการพัฒนาช่องทางการแข่งขันทางธุรกิจ เช่น การสร้างโมเดลธุรกิจดิจิตอลระดับฟรอนต์เอนด์ (Front-end) ในการติดต่อกับลูกค้า และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตลาดเป้าหมาย เป็นต้น
ทั้งนี้ องค์กรที่ต้องการใช้งานคลาวด์แบบไฮบริด ควรคำนึงถึงระบบความปลอดภัยแบบฝังตัว (Embedded) ในการปกป้องดูแลแพลตฟอร์ม สินทรัพย์ด้านข้อมูล ระบบเครือข่าย แอพพลิเคชัน และบริการต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง

++ความปลอดภัยแบบ CARTA
การ์ทเนอร์ กล่าวว่า ในปี 2561 ธุรกิจดิจิตอลมีผลทำให้งานด้านความปลอดภัยมีความซับซ้อนมากขึ้น การใช้งานคลาวด์ ซึ่งเริ่มมีเค้าลางไม่ปลอดภัย แมชีน เลิร์นนิ่ง ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมล่อลวง ไวรัส แรนซัมแวร์ (Ransomware) หันมาโจมตีอุปกรณ์ไอโอที มัลแวร์บนสมาร์ทโฟน การก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ภัยคุกคามบนอินเตอร์เน็ต ไปจนถึงการหยุดชะงักของธุรกิจเนื่องจากข้อมูลถูกโจมตี ทำให้องค์กรต้องวางกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยแบบหลายชั้น โดยเน้นการวิเคราะห์และคาดการณ์ล่วงหน้า และหาวิธีตอบโต้ต่อพฤติกรรมที่เป็นภัยคุกคามอย่างจริงจังและทันท่วงที
หนึ่งในกลยุทธ์ความปลอดภัยซึ่งการ์ทเนอร์มองว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ คือ CARTA หรือ Continuous Adaptive Risk and Trust Assessment โดยบูรณาการแนวทางของ DevOps และ Dev SecOps ในการสร้างแอพพลิเคชันด้านความปลอดภัย ตลอดจนวางกระบวนการตรวจสอบเครื่องมือและกำกับการใช้งานให้ได้ผลตามที่ต้องการ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการล่อลวงอาชญากรทางคอมพิวเตอร์ (Deceptive Technology)

เช่น การสร้าง Adaptive Honeypot เพื่อหลอกล่อแฮก เกอร์ให้มาติดกับดักที่วางไว้ โดยกับดักที่ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

การออกแบบระบบความปลอดภัยในอนาคตจึงไม่ใช่แบบแก้ปัญหาได้จบในระบบเดียว หรือ one for all อีกต่อไป แต่ควรเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีหลายรูปแบบและการปกป้องหลายชั้นแบบมัลติเลเยอร์ในระดับที่ลงลึกถึงการประเมินและวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อขจัดพฤติกรรมเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นในการเข้าใช้งานระบบ แทนการสอดส่องแค่ว่า ใครคือเจ้าของความเสี่ยงแล้วจึงควบคุม หัวใจสำคัญ คือ ต้องสามารถปรับแต่งปราการป้องกันให้ทันต่อภัยคุกคามที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในแบบเรียลไทม์

++ปฏิวัติข้อมูลสู่ปัญญาประดิษฐ์
ผลสำรวจของการ์ทเนอร์ เมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า 59% ขององค์กรยังอยู่ระหว่างแสวง หาข้อมูลเพื่อกำหนดกลยุทธ์ด้านปัญญาประดิษฐ์ (ArtificialIntelligence:AI) ขณะที่เหลือกำลังเริ่มต้นนำมาใช้ ซึ่งหากมองให้แคบลงในระดับแมชชีน เลิร์นนิ่ง (Machine Learning:ML) ยังเป็นการใช้เฉพาะงานบางประเภท เช่น การสร้างเครื่องมือเพื่อความเข้าใจในภาษา หรือจำลองการขับรถในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุม
Ad_Online-03
สำหรับสิ่งที่องค์กรธุรกิจต้องการมากขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์และแมชชีน เลิร์นนิ่งในยุคเศรษฐกิจดิจิตอล คือการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากบนพื้นฐานการทำงานแบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพมาก กว่ามนุษย์ เพื่อนำไปสู่การปรับโฉมรูปแบบทางธุรกิจแนวใหม่ เช่น ระบบอีโคซิสเต็มส์ การสร้างกระบวนการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างชาญฉลาด การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการตัดสินใจ และการสร้างประสบการณ์อันน่าประทับใจให้กับลูกค้า เป็นต้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,341 วันที่ 18 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว