เฮงเคล ลุยเจาะร้านซาลอนรับตลาดกลับมาโต 10%
เฮงเคล มั่นใจคนไทยเข้าซาลอนบ่อย-ร้านเปิดมากขึ้นถึง 4 หมื่นแห่ง ดันตลาดสินค้าดูแลเส้นผมกลับมาโต 10% เท่ากับในอดีตเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าขยายสินค้าเข้าร้านซาลอนเพิ่มต่อเนื่อง หลังได้ 2 แบรนด์จากอเมริกาเข้ามาทำตลาดเพิ่ม
นายธีรศักดิ์ ไตรทิพย์ ผู้จัดการทั่วไป ชวาร์สคอฟ โปรเฟสชั่นแนล บริษัท เฮงเคล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เปิดเผยถึงทิศทางตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมในปี 2561 ว่า น่าจะกลับมาเติบโตได้เป็นบวกด้วยอัตราประมาณ 10% จากช่วงหลายปีที่ผ่านมาเติบโตในอัตราไม่เกิน 5% โดยเฉพาะปีที่ผ่านมาตลาดแทบไม่เติบโต ซึ่งการเติบโตในปีนี้จะกลับไปเท่ากับช่วง 10 ปีก่อนหน้า ที่มีอัตราการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก
โดยประเมินว่าปัจจัยที่ส่งผลให้ภาพรวมตลาดเติบโต เป็นเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ความสนใจในเทรนด์แฟชั่นและยอมรับเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนสีผม ผู้บริโภคมีความเข้าใจเรื่องการทำสีผมมากขึ้น และสื่อดิจิตอลทำให้ผู้บริโภคติดตามแฟชั่น รวมถึงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ แต่ผู้บริโภคคนไทยมีความถี่ในการใช้บริการร้านซาลอนมากขึ้น
นอกจากนี้ จากการขยายตัวของร้านซาลอนที่เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าปีนี้จะมีร้านซาลอนเพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่นแห่ง จากปีที่ผ่านมามีกว่า 3 หมื่นแห่ง ซึ่งบริษัทสามารถเข้าถึงร้านซาลอนและจัดจำหน่ายสินค้าเข้าไปยังร้านซาลอนได้กว่า 30% โดยปีนี้ยังคงวางเป้าหมายขยายการเข้าถึงร้านซาลอนเพิ่มขึ้นด้วยตัวเลข 2 หลัก
“แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ แต่คนไทยถือว่าเป็นผู้บริโภคที่เข้าร้านซาลอนถี่กว่าหลายชาติในอาเซียน และตลาดไทยก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพราะคนไทยเป็นผู้ที่ตามเทรนด์และนำเทรนด์ในเรื่องของการทำสีผม คนเข้าซาลอนก็มีอายุน้อยลงด้วย ประกอบกับการขยายตัวของจำนวนร้านซาลอนที่มากขึ้น การปิดตัวน้อยลง ตลาดปีนี้จึงน่าจะกลับมาขยายตัวได้เหมือนในอดีต ซึ่งสินค้ากลุ่มสีผมน่าจะเติบโตมากที่สุด และน่าจะมีสัดส่วนถึง 35% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มบำรุง มีสัดส่วน 10% ส่วนกลุ่มยืดและดัดมีสัดส่วนที่เท่าๆ กัน”
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มโปรเพรสชั่นนอล ของบริษัทในปีนี้ ได้นำสินค้า 2 แบรนด์จากอเมริกาเข้ามาเสริมการทำตลาด ได้แก่ แบรนด์จอยโก้ (Joico) และโซโตส (Zotos) หลังจากบริษัทแม่ได้ทำการซื้อกิจการมาจากชิเซโด้ในเอเชียและอเมริกาเหนือ โดยทั้ง 2 แบรนด์จะทำให้บริษัทสามารถขยายฐานผู้บริโภคทั่วไปที่มีความต้องการได้หลากหลายขึ้น และจะช่วยผลักดันให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในผลิตภัณฑ์กลุ่มทำสีผมภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ด้วย
นายธีรศักดิ์ ไตรทิพย์ ผู้จัดการทั่วไป ชวาร์สคอฟ โปรเฟสชั่นแนล บริษัท เฮงเคล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เปิดเผยถึงทิศทางตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมในปี 2561 ว่า น่าจะกลับมาเติบโตได้เป็นบวกด้วยอัตราประมาณ 10% จากช่วงหลายปีที่ผ่านมาเติบโตในอัตราไม่เกิน 5% โดยเฉพาะปีที่ผ่านมาตลาดแทบไม่เติบโต ซึ่งการเติบโตในปีนี้จะกลับไปเท่ากับช่วง 10 ปีก่อนหน้า ที่มีอัตราการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก
โดยประเมินว่าปัจจัยที่ส่งผลให้ภาพรวมตลาดเติบโต เป็นเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ความสนใจในเทรนด์แฟชั่นและยอมรับเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนสีผม ผู้บริโภคมีความเข้าใจเรื่องการทำสีผมมากขึ้น และสื่อดิจิตอลทำให้ผู้บริโภคติดตามแฟชั่น รวมถึงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ แต่ผู้บริโภคคนไทยมีความถี่ในการใช้บริการร้านซาลอนมากขึ้น
นอกจากนี้ จากการขยายตัวของร้านซาลอนที่เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าปีนี้จะมีร้านซาลอนเพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่นแห่ง จากปีที่ผ่านมามีกว่า 3 หมื่นแห่ง ซึ่งบริษัทสามารถเข้าถึงร้านซาลอนและจัดจำหน่ายสินค้าเข้าไปยังร้านซาลอนได้กว่า 30% โดยปีนี้ยังคงวางเป้าหมายขยายการเข้าถึงร้านซาลอนเพิ่มขึ้นด้วยตัวเลข 2 หลัก
“แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ แต่คนไทยถือว่าเป็นผู้บริโภคที่เข้าร้านซาลอนถี่กว่าหลายชาติในอาเซียน และตลาดไทยก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพราะคนไทยเป็นผู้ที่ตามเทรนด์และนำเทรนด์ในเรื่องของการทำสีผม คนเข้าซาลอนก็มีอายุน้อยลงด้วย ประกอบกับการขยายตัวของจำนวนร้านซาลอนที่มากขึ้น การปิดตัวน้อยลง ตลาดปีนี้จึงน่าจะกลับมาขยายตัวได้เหมือนในอดีต ซึ่งสินค้ากลุ่มสีผมน่าจะเติบโตมากที่สุด และน่าจะมีสัดส่วนถึง 35% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มบำรุง มีสัดส่วน 10% ส่วนกลุ่มยืดและดัดมีสัดส่วนที่เท่าๆ กัน”
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มโปรเพรสชั่นนอล ของบริษัทในปีนี้ ได้นำสินค้า 2 แบรนด์จากอเมริกาเข้ามาเสริมการทำตลาด ได้แก่ แบรนด์จอยโก้ (Joico) และโซโตส (Zotos) หลังจากบริษัทแม่ได้ทำการซื้อกิจการมาจากชิเซโด้ในเอเชียและอเมริกาเหนือ โดยทั้ง 2 แบรนด์จะทำให้บริษัทสามารถขยายฐานผู้บริโภคทั่วไปที่มีความต้องการได้หลากหลายขึ้น และจะช่วยผลักดันให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในผลิตภัณฑ์กลุ่มทำสีผมภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ด้วย
