บีบีจีไอทุ่ม3หมื่นล.ลุยชีวภาพ ผุดคอมเพล็กซ์ที่ฉะเชิงเทราภายใน5ปีเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
บางจาก-เคเอสแอล หนุนรัฐเร่งงัดมาตรการส่งเสริมการใช้ไบโอพลาสติกในประเทศ เตรียมทุ่มกว่า 3 หมื่นล้านบาท ผุดนิคมอุตสาหกรรมในอีอีซีในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา รองรับธุรกิจชีวภาพ มั่นใจจุดเด่นทำเลดี มีวัตถุดิบพร้อมคาดผลศึกษาชัดเจนภายในปลายปีนี้
นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้มีการควบรวมบริษัทระหว่าง บริษัท บีบีพี โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ และบริษัท เคเอสแอลจีไอ จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท นํ้าตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท บีบีจีไอ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีกำลังการผลิตรวม 1.71 ล้านลิตรต่อวัน โดยไบโอดีเซลบี 100 มีกำลังการผลิตที่ 8.1 แสนลิตรต่อวัน และเอทานอล มีกำลังการผลิตที่ 9 แสนลิตรต่อวัน โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตไบโอดีเซล เป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน และเอทานอล เป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน ในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 คาดว่าจะกระจายหุ้นเพื่อเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (ไอพีโอ) ประมาณ 30% โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวงฯ, กสิกรไทย และฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนด้านธุรกิจชีวภาพในโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใน 5 ปี ที่คาดว่าจะอยู่ที่พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีที่ดินประมาณ 500 ไร่ และหากมีโครงการเพิ่มขึ้น ทางบางจากเตรียมขยายพื้นที่ต่อไป
สำหรับเงินลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่กว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของเงินลงทุน 5 ปี (2561-2565) ของกลุ่มบางจากอยู่ที่ 1.13 แสนล้านบาท
“ในช่วง 2 ปีนี้บริษัทก็อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสต่อยอดธุรกิจต่างๆ จากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีทั้งในส่วนของชานอ้อย นํ้าตาล มันสำปะหลัง ปาล์ม สาหร่าย ก่อนจะสรุปเพื่อเตรียมลงทุนในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นที่มีมูลค่าสูงขึ้น เป็นกลุ่มไบโอพลาสติก, กลีเซอรีน เพื่อต่อ ยอดธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้จะทำเป็นไบโอคอมเพล็กซ์ ที่จะเดินไปข้างหน้าเป้าหมายสุดท้ายจะเป็น Bio-Based ตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม และเพิ่มมูลค่าพืชผลทางการเกษตรในประเทศ” นายพงษ์ชัย กล่าว
นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการ บริษัท นํ้าตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับทางบางจาก ตั้งบริษัท บีบีจีไอ จำกัด เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจชีวภาพ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการป้อนวัตถุดิบโดยเฉพาะเอทานอลจากกาก นํ้าตาล ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานเอทานอล 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 3.5 แสนลิตรต่อวัน
สำหรับความคืบหน้า การศึกษาโครงการขยายลงทุนในอีอีซีเพื่อลงทุนนิคมอุตสาหกรรมไบโอคอมเพล็กซ์ เบื้องต้นจะอยู่ที่จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ของทางบางจาก จำนวน 500 ไร่ แต่หากมีปัญหาติดขัดด้านพื้นที่ ทางเคเอสแอลก็มีพื้นที่กว่า 1 พันไร่ ที่จ.สระแก้วรองรับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่ามาตรการส่งเสริมให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์ไบโอพลาสติกในประเทศยังไม่มากนัก ประกอบกับราคาที่แพงกว่าเมื่อเทียบกับพลาสติกทั่วไป ทำให้ความต้องการใช้ในประเทศไม่มากนัก แต่ทางยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น มีความต้องการใช้อย่างแพร่หลายด้วยกระแสรักษ์โลก ดังนั้นหากต้องการให้เกิดการลงทุนในประเทศ นอกเหนือจากให้สิทธิพิเศษด้านภาษีแล้ว ยังจำเป็นต้องมีมาตรการบังคับให้เกิดการใช้ในประเทศด้วย อาทิ ต้องผสมไบโอพลาสติกในสัดส่วน 10% ในการผลิตพลาสติก เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,339 วันที่ 11 - 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้มีการควบรวมบริษัทระหว่าง บริษัท บีบีพี โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท บางจากฯ และบริษัท เคเอสแอลจีไอ จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท นํ้าตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท บีบีจีไอ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีกำลังการผลิตรวม 1.71 ล้านลิตรต่อวัน โดยไบโอดีเซลบี 100 มีกำลังการผลิตที่ 8.1 แสนลิตรต่อวัน และเอทานอล มีกำลังการผลิตที่ 9 แสนลิตรต่อวัน โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตไบโอดีเซล เป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน และเอทานอล เป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน ในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนด้านธุรกิจชีวภาพในโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใน 5 ปี ที่คาดว่าจะอยู่ที่พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีที่ดินประมาณ 500 ไร่ และหากมีโครงการเพิ่มขึ้น ทางบางจากเตรียมขยายพื้นที่ต่อไป
สำหรับเงินลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่กว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของเงินลงทุน 5 ปี (2561-2565) ของกลุ่มบางจากอยู่ที่ 1.13 แสนล้านบาท
“ในช่วง 2 ปีนี้บริษัทก็อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสต่อยอดธุรกิจต่างๆ จากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีทั้งในส่วนของชานอ้อย นํ้าตาล มันสำปะหลัง ปาล์ม สาหร่าย ก่อนจะสรุปเพื่อเตรียมลงทุนในผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นที่มีมูลค่าสูงขึ้น เป็นกลุ่มไบโอพลาสติก, กลีเซอรีน เพื่อต่อ ยอดธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้จะทำเป็นไบโอคอมเพล็กซ์ ที่จะเดินไปข้างหน้าเป้าหมายสุดท้ายจะเป็น Bio-Based ตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม และเพิ่มมูลค่าพืชผลทางการเกษตรในประเทศ” นายพงษ์ชัย กล่าว
สำหรับความคืบหน้า การศึกษาโครงการขยายลงทุนในอีอีซีเพื่อลงทุนนิคมอุตสาหกรรมไบโอคอมเพล็กซ์ เบื้องต้นจะอยู่ที่จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ของทางบางจาก จำนวน 500 ไร่ แต่หากมีปัญหาติดขัดด้านพื้นที่ ทางเคเอสแอลก็มีพื้นที่กว่า 1 พันไร่ ที่จ.สระแก้วรองรับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่ามาตรการส่งเสริมให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์ไบโอพลาสติกในประเทศยังไม่มากนัก ประกอบกับราคาที่แพงกว่าเมื่อเทียบกับพลาสติกทั่วไป ทำให้ความต้องการใช้ในประเทศไม่มากนัก แต่ทางยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น มีความต้องการใช้อย่างแพร่หลายด้วยกระแสรักษ์โลก ดังนั้นหากต้องการให้เกิดการลงทุนในประเทศ นอกเหนือจากให้สิทธิพิเศษด้านภาษีแล้ว ยังจำเป็นต้องมีมาตรการบังคับให้เกิดการใช้ในประเทศด้วย อาทิ ต้องผสมไบโอพลาสติกในสัดส่วน 10% ในการผลิตพลาสติก เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,339 วันที่ 11 - 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
