โอกาส ‘ทอง’ หลังหุ้นเสี่ยงปรับฐาน

10 ก.พ. 2561 | 02:04 น.
MP18-3338-3A ปี 2017 ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นปีทองของตลาดหุ้นสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 24.39% พร้อมทำสถิติปิดทำนิวไฮเป็นครั้งที่ 71 ในปี 2017 และทำสถิติทะยานมากกว่า 5,000 จุดในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก นับตั้งแต่ก่อตั้งมานาน 121 ปี ขณะที่ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้น 18.74% ซึ่งเป็น การปรับตัวขึ้นในรายปีที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 27.24% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันทำให้ในช่วงที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 อยู่ในช่วงขาขึ้นเป็นเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1929 โดยยังไม่มีการปรับฐานมากกว่า 5%

ขณะที่ปี 2018 ดูเหมือนจะมีเสียงเตือนจากผู้คนในแวดวงการลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเกิดการปรับฐาน อาทิ นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ด้านนายเบิร์นฮาร์ด ฮอดเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทจูเลียส แบเออร์ฯ กล่าวเตือนเช่นกันว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีตเสี่ยงจะเผชิญกับภาวะปรับฐานซึ่งควรเกิดขึ้นมานานแล้ว และนักลงทุนควรเตรียมใจรับมือราคาหุ้นที่จะตกลงถึง 15% ในปีนี้ สอดคล้องกับที่โกลด์แมน ซากส์ที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีตจะเกิดการปรับฐานเช่นกันหลังจากพุ่งแรงในช่วงที่ผ่านมา

MP18-3338-4A เค้าลางของการปรับฐานชัดเจนมากขึ้นหลังจากวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยร่วงลงถึง 665.75 จุด หรือ-2.54% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,240.95 จุด ลดลง 144.92 จุด หรือ-1.96% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,762.13 จุด ลดลง 59.85 จุด หรือ -2.12% ด้านดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของตลาดพุ่งขึ้นทะลุ 17 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับตํ่ากว่า 9 จุด ซึ่งเป็นระดับตํ่าสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีการปรับฐาน 10% หรือมากกว่านั้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ทั้งนี้ โกลด์แมน ซากส์เคยระบุในรายงานว่า ค่าเฉลี่ยของการปรับฐานคือ 13% เป็นเวลา 4 เดือน และใช้เวลาอีก 4 เดือนในการฟื้นตัว

แนวโน้มที่ตลาดหุ้นจะเกิดการปรับฐานกลายเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทองคำจะต้องจับตา เพราะเชื่อได้ว่าจะกระตุ้นแรงซื้อทองคำในหมู่นักลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะทองคำมีคุณสมบัติในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ช่วยลดความผันผวนและช่วยป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนหากเกิดวิกฤตการณ์ (black swan events) ต่างๆ เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับสินทรัพย์อื่นๆอยู่ในระดับตํ่าไม่ว่าจะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยหรือขยายตัวก็ตาม อีกทั้งสภาพคล่องในตลาดทองคำอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ทองคำยังช่วยเพิ่มผลตอบแทนหลังปรับค่าความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) และลดอัตราการลดลงของเงินทุน (maximum drawdown) ลงได้เมื่อเปรียบเทียบกับพอร์ตการลงทุนที่ไม่ได้ลงทุนในทองคำอีกด้วย ดังนั้นทองคำจึงถือเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนควรถือครองอย่างน้อย 2-10% ไว้ในพอร์ตลงทุน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,338 วันที่ 8 - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว