BAY ชูยุทธศาสตร์ 3 ปี ปักหมุดแบงก์แถวหน้า
แผนธุรกิจปี 2558-2560 ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) (BAY) สำเร็จทั้ง 3 ด้าน คือ 1.ขยายสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 1.71 ล้านบาท เป็น 2.09 ล้านล้านบาท 2. เพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย จาก 2.64 หมื่นล้านบาท มาที่ 3.2 หมื่นล้านบาท และ 3. ลดต้นทุนทางการเงินจาก 2.08% มาที่ 1.60% และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลดลงจาก 2.24% มาที่ 2.05% ถือว่าตํ่าสุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินและตํ่าสุดในระบบธนาคารพาณิชย์ ภายใต้การเติบโตของกำไรสุทธิจาก 1.72 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2.32 หมื่นล้านบาท
แผนฉบับใหม่ล่าสุดระยะ 3 ปี คือ ปี 2561-2563 ของ BAY ภายใต้การนำของนายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY วางกลยุทธ์เติบโตใน 3 ด้านคือ 1.การขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด Digital First 2.สร้างประสบการณ์เหนือระดับเพื่อให้ลูกค้าใช้ BAY เป็นธนาคารหลัก และ 3.เสริมสร้างศักยภาพด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายโนริอากิ กล่าวว่า การขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด Digital First ไม่ใช่มุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าตามเซ็กเมนต์ รวมถึงดำเนินตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (National e-Payment)
[caption id="attachment_256480" align="aligncenter" width="503"]
โนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY[/caption]
เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ทั้งในส่วนของ Robot หรือ AI ในเบื้องต้น ธนาคารกำลังศึกษาอยู่ว่าจะนำไปใช้ในส่วนธุรกิจใดบ้าง แต่ธนาคารยืนยันว่าจะไม่มีการลดพนักงานแน่นอน และจะไม่มีการปิดสาขา แต่อาจจะมีการโยกย้ายพนักงานบางส่วนไปทำงานในส่วนอื่นที่สามารถนำเทคโนโลยีมาแทนได้
ปัจจุบันมีสาขาอยู่ราว 663 แห่ง ซึ่งอาจจะมีบางส่วนประมาณ 10% ของสาขาทั้งหมดที่จะปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิตอลใช้เครื่องมืออัตโนมัติมาช่วยลูกค้า และอีกประมาณ 40% จะเป็นสาขารูปแบบกึ่งอัตโนมัติ และที่เหลือจะคงรูปแบบสาขาเหมือนเดิม ซึ่งทั้งหมดนั้นพนักงานสาขายังคงอัตราเดิมไม่มีการลดลง
ส่วนการสร้างประสบ การณ์เหนือระดับเพื่อให้ลูกค้าใช้ BAY ธนาคารหลัก จะพัฒนาแพลตฟอร์มที่สร้างประสบการณ์ลูกค้าในทุกๆช่องทาง โดยแบ่งลูกค้าเป็นเซ็กเมนต์ ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และด้านที่ 3 จะมุ่งปรับโคงสร้างธุรกิจให้เหมาะสมเพื่อบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อให้แผนธุรกิจบรรลุเป้าหมาย BAY จึงจัดสรรงบประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท ลงทุนไอทีและพัฒนาระบบเทคโนโลยีมารองรับ ต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ได้ลงทุนไปแล้ว 5,000 ล้านบาท และในปี 2561 วางงบลงทุนไว้ 8,500 ล้านบาท ซึ่งนางสาวดวงดาว วงค์พนิตกฤต ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน BAY กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นการพัฒนาระบบ Operation System รวมถึงการศึกษาเรื่องเทคโนโลยี Block Chain, AI และการทำระบบ Big Data เป็นต้น
ส่วนการลงทุนในเทคโนโลยี สตาร์ตอัพ ฟินเทคใหม่ๆ จะลงทุนผ่านบริษัท กรุงศรี ฟินโนเวตฯ ซึ่งปีก่อนธนาคารได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจธนาคารก็พร้อมจะลงทุนเพิ่มเติมหากวงเงินเดิมไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจุบันมีการพูดคุยอยู่หลายรายเช่นกัน
ภายใต้การพัฒนาระบบและนำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจ คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานเฉลี่ยอย่างน้อยปีละ 10-15% หรือภายใน 3 ปีข้างหน้าจะช่วยลดต้นทุนลงประมาณ 30% อย่างไรก็ดี ต้นทุนต่อรายได้ (Cost to income) อาจจะไม่ได้ปรับลดลงมาก เนื่องจากลูกค้ามีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะเดียวกัน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกและไทยมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อการบริหารต้นทุน
ส่วนรายได้จะทำได้ยากมากขึ้น เพราะนโยบายภาครัฐผ่านโครงการ National e-Payment ทำให้รายได้หายไปบ้างส่วน และบางส่วนถูกควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ในปี 2561 ธนาคารคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะอยู่ที่กรอบ 3.5-3.7%
สำหรับเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อในปี 2561 ตั้งเป้าเติบโต 6-8% สอดคล้องจีดีพี ที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4% จะเน้นขยายสินเชื่อธุรกิจรายย่อย คาดว่าสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลโต 8-10% สินเชื่อเอสเอ็มอี กลับมาโต 5-6% หลังชะลอจากปีก่อนๆเพราะเศรษฐกิจและกังวลเอ็นพีแอล ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 3-4% ส่วนเอ็นพีแอลภาพรวมจะรักษาไม่ให้เกิน 2.5%
“เราตั้งเป้าสินเชื่อ 3 ปี จะโต 7-9% การตั้งสำรองจะยังคงนโยบายความแข็งแกร่งที่ระดับเกิน 140%หากดูตั้งสำรองในปี 2560 สูงกว่าปี 2559 โดยมีสำรองส่วนเกินประมาณ 2,000 ล้านบาท ในปีนี้น่า จะมากกว่า เพราะสินเชื่อขยายตัว”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,337 วันที่ 4 - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
แผนฉบับใหม่ล่าสุดระยะ 3 ปี คือ ปี 2561-2563 ของ BAY ภายใต้การนำของนายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY วางกลยุทธ์เติบโตใน 3 ด้านคือ 1.การขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด Digital First 2.สร้างประสบการณ์เหนือระดับเพื่อให้ลูกค้าใช้ BAY เป็นธนาคารหลัก และ 3.เสริมสร้างศักยภาพด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายโนริอากิ กล่าวว่า การขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด Digital First ไม่ใช่มุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าตามเซ็กเมนต์ รวมถึงดำเนินตามนโยบายภาครัฐที่ต้องการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (National e-Payment)
[caption id="attachment_256480" align="aligncenter" width="503"]
เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ทั้งในส่วนของ Robot หรือ AI ในเบื้องต้น ธนาคารกำลังศึกษาอยู่ว่าจะนำไปใช้ในส่วนธุรกิจใดบ้าง แต่ธนาคารยืนยันว่าจะไม่มีการลดพนักงานแน่นอน และจะไม่มีการปิดสาขา แต่อาจจะมีการโยกย้ายพนักงานบางส่วนไปทำงานในส่วนอื่นที่สามารถนำเทคโนโลยีมาแทนได้
ปัจจุบันมีสาขาอยู่ราว 663 แห่ง ซึ่งอาจจะมีบางส่วนประมาณ 10% ของสาขาทั้งหมดที่จะปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิตอลใช้เครื่องมืออัตโนมัติมาช่วยลูกค้า และอีกประมาณ 40% จะเป็นสาขารูปแบบกึ่งอัตโนมัติ และที่เหลือจะคงรูปแบบสาขาเหมือนเดิม ซึ่งทั้งหมดนั้นพนักงานสาขายังคงอัตราเดิมไม่มีการลดลง
ส่วนการสร้างประสบ การณ์เหนือระดับเพื่อให้ลูกค้าใช้ BAY ธนาคารหลัก จะพัฒนาแพลตฟอร์มที่สร้างประสบการณ์ลูกค้าในทุกๆช่องทาง โดยแบ่งลูกค้าเป็นเซ็กเมนต์ ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และด้านที่ 3 จะมุ่งปรับโคงสร้างธุรกิจให้เหมาะสมเพื่อบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อให้แผนธุรกิจบรรลุเป้าหมาย BAY จึงจัดสรรงบประมาณกว่า 2 หมื่นล้านบาท ลงทุนไอทีและพัฒนาระบบเทคโนโลยีมารองรับ ต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ได้ลงทุนไปแล้ว 5,000 ล้านบาท และในปี 2561 วางงบลงทุนไว้ 8,500 ล้านบาท ซึ่งนางสาวดวงดาว วงค์พนิตกฤต ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน BAY กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นการพัฒนาระบบ Operation System รวมถึงการศึกษาเรื่องเทคโนโลยี Block Chain, AI และการทำระบบ Big Data เป็นต้น
ส่วนการลงทุนในเทคโนโลยี สตาร์ตอัพ ฟินเทคใหม่ๆ จะลงทุนผ่านบริษัท กรุงศรี ฟินโนเวตฯ ซึ่งปีก่อนธนาคารได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจธนาคารก็พร้อมจะลงทุนเพิ่มเติมหากวงเงินเดิมไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจุบันมีการพูดคุยอยู่หลายรายเช่นกัน
ส่วนรายได้จะทำได้ยากมากขึ้น เพราะนโยบายภาครัฐผ่านโครงการ National e-Payment ทำให้รายได้หายไปบ้างส่วน และบางส่วนถูกควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ในปี 2561 ธนาคารคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะอยู่ที่กรอบ 3.5-3.7%
สำหรับเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อในปี 2561 ตั้งเป้าเติบโต 6-8% สอดคล้องจีดีพี ที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4% จะเน้นขยายสินเชื่อธุรกิจรายย่อย คาดว่าสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลโต 8-10% สินเชื่อเอสเอ็มอี กลับมาโต 5-6% หลังชะลอจากปีก่อนๆเพราะเศรษฐกิจและกังวลเอ็นพีแอล ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 3-4% ส่วนเอ็นพีแอลภาพรวมจะรักษาไม่ให้เกิน 2.5%
“เราตั้งเป้าสินเชื่อ 3 ปี จะโต 7-9% การตั้งสำรองจะยังคงนโยบายความแข็งแกร่งที่ระดับเกิน 140%หากดูตั้งสำรองในปี 2560 สูงกว่าปี 2559 โดยมีสำรองส่วนเกินประมาณ 2,000 ล้านบาท ในปีนี้น่า จะมากกว่า เพราะสินเชื่อขยายตัว”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,337 วันที่ 4 - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
