การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ระหว่างวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี มีกำหนดการตรวจราชการในพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด โดยมีวาระเยี่ยมชมการบริหารจัดการนํ้าและป่าชายเลน เดินทางไปยังศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเล เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะในการพัฒนาเกาะช้าง เยี่ยมชมชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และร่วมประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออก
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมครม. นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยี่ยมชมสหกรณ์การเกษตรมะขาม จ.จันทบุรี เพื่อชมการบริหารจัดการผลไม้อย่างครบวงจร โดยจะพบปะกับกลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปผลไม้ ก่อนจะเป็นสักขีพยานในการร่วมลงนามข้อตกลงทางการค้าด้านผลไม้ หรือเอ็มโอยู 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1. ยุทธศาสตร์มหานครผลไม้ ผลักดันประเทศไทยสู่มหาอำนาจผลไม้เมืองร้อนโลก
เอ็มโอยูเรื่องที่ 2 การกระจายผลผลิตผลไม้ระหว่างหอการค้าผู้ผลิตผลไม้ภาคตะวันออกกับหอการค้าจังหวัดที่บริโภคผลไม้รายใหญ่ เอ็มโอยูที่ 3 การกระจายผลผลิตผลไม้จันทบุรีสู่ประเทศผู้บริโภค เป็นความร่วมมือระหว่างหอการค้า 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ตราด ศรีสะเกษ นครศรีธรรมราช สุราษฎ์ธานี เชียงใหม่ ชุมพร กับเมืองผิงเสียง สาธารณรัฐประชาชนจีน และเมืองไพลิน ประเทศกัมพูชา
ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับภาคเอกชน ทำแผนส่งเสริมปูทางสู่การเป็นมหานครผลไม้ของโลกในจังหวัดมาแล้วระดับหนึ่ง งานนี้ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ หมายมั่นปั้นมือว่าจะทำเป็นผลงานชิ้นโบแดงให้ได้ หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบซึ่งน่าจะเป็นไปตามแผน กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็จะเป็นเจ้าภาพร่วม
ในการทำแผนแบบครบวงจรเพื่อเสนอของบพร้อมบรรจุเข้าทำงานบูรณาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้เป็นรูปธรรม ทั้งด้านการสร้างแบรนด์ การโปรโมต การจัดจำหน่าย การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยว และการจัดกิจกรรมให้ทั่วโลกรับรู้ โดยปี 2560 ที่ผ่านมา เฉพาะผลไม้ใน จ.จันทบุรี มีมูลค่าการตลาด 9 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียน ที่กำลังเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้บริโภคชาวจีนและทั่วโลก การลงนามครั้งนี้ ประโยชน์จะพุ่งตรงสู่เกษตรกรชาวสวน ไม่เพียงเพื่อช่วยแก้ปัญหาราคาตกตํ่า แต่ทำให้ประเทศไทย กลายเป็นมหานครผลไม้อย่างเต็มภาคภูมิ
..............
บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /ฉบับ 3337 ระหว่างวันที่ 4-7 ก.พ.2561
