สตง.แจงพบผิดเงื่อนไข รถคันแรกสูงถึง25%

02 ก.พ. 2561 | 04:39 น.
นายพรชัย จำรูญพานิชย์กุล รักษาการผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)เปิดเผยถึงการตรวจสอบโครงการรถคันแรกว่า สตง.ได้สุ่มตรวจตั้งแต่ปี 2558 จำนวน 4,000 คัน จากนั้นได้แจ้งผลการสุ่มตรวจให้กรมสรรพสามิตรับทราบในปี 2559 ซึ่งพบว่า มีเจ้าของรถเข้าข่ายกระทำผิดเงื่อนไขการขอคืนเงินประมาณ 1,000 ราย นับว่ามีสัดส่วนสูงถึง 25% จากยอดการสุ่มตรวจ ซึ่งกลุ่มกระทำผิดเงื่อนไขดังกล่าวต้องคืนเงินภาษีให้กับรัฐด้วย

[caption id="attachment_255652" align="aligncenter" width="503"] นายพรชัย จำรูญพานิชย์กุล นายพรชัย จำรูญพานิชย์กุล[/caption]

นายพรชัย กล่าวต่อว่า กรมสรรพสามิต ได้ทำหนังสือชี้แจงในเดือนสิงหาคมปี 2560 ว่าโครงการรถยนต์คันแรกมีประชาชนใช้สิทธิ์ขอคืนภาษีจำนวน 1.25 ล้านราย กรมสรรพสามิตได้คืนเงินภาษีไปแล้ว จำนวน 1.19 ล้านราย ยังไม่ได้คืนภาษีจำนวน 1.5 แสนคัน เพราะต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมว่าได้ทำผิดเงื่อนไขหรือไม่ หากใครทำผิดเงื่อนไขเรียกเงินคืนได้ตามข้อกำหนด

“ยอมรับว่า โครงการขนาดใหญ่ดูแลเจ้าของรถจำนวนนับล้านคัน อาจมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปบ้าง เมื่อต้องใช้ความรวดเร็วในการให้บริการ แต่สตง.ต้องการให้ตรวจ เพื่อความรอบคอบ โปร่งใส และยอดการตรวจสอบส่วนที่เหลือขณะนี้ คาดว่า คงลดลงจาก 1.5 แสนคัน แต่คงไม่ใช่เป็นการตามเก็บเงินภาษีคืนนับหมื่นล้านบาทตามที่เป็นข่าว”นายพรชัยกล่าว

ทั้งนี้ หากเจ้าของรถชี้แจงทางเอกสาร เงื่อนไขต่างๆ กับกรมสรรพสามิตได้ครบถ้วน จากนั้นกรมสรรพสามิตจะแจ้งข้อมูลไปยังกรมขนส่งทางบกให้ปลดล็อก เพื่อสามารถโอนรถได้เมื่อครอบครองรถเกิน 5 ปี จึงอยากให้ทั้ง 2 หน่วยงานทั้งกรมขนส่งทางบก และกรมสรรพสามิตประสานงาน ในรายที่ได้ตรวจสอบถูกต้องแล้ว เพื่อให้โอนรถยนต์ได้
“สตง. ยืนยันว่าได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องเป็นรายบุคคล ไม่ใช่การตรวจสอบนโยบายรถยนต์คันแรกตามที่ ครม.อนุมัติโครงการว่าถูกต้องหรือไม่ จึงไม่กระทบต่อทั้งโครงการ”

728x90-03-3-503x62-3-503x62 สำหรับการตรวจสอบว่าเข้าขายเงื่อนไขรถคันแรกครบทุกข้อหรือไม่ ประกอบด้วย 1. เป็นรถยนต์คันแรกที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 หรือจองซื้อตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2555 – 31 ธันวาคม 2555 และรับมอบรถยนต์หรือจดทะเบียนไม่ทันภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 2. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท/คัน 3. เป็นรถยนต์นั่งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์ เซนติเมตร / รถยนต์กระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (Double Cab)  4. เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ) 5. คืนเงินเท่ากับภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/คัน 6. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 7. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี 8. การคืนเงินจะคืนให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว (จ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป) 9. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้ 10. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย

นายพรชัยกล่าวต่อว่า สตง.ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบสัญญาเช่า ระหว่างบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับคู่ค้าสัญญาเช่า ได้กำหนดสัญญาร่วมกันอย่างไรบ้าง ในการเปิดให้ขายอาหารในสนามบิน เปิดทางให้เช่าต่อหรือไม่ สัญญากำหนดให้ขายอาหารเพิ่มสัดส่วนเท่าใด เพื่อพิจารณาดูว่าแพงเกินจริงหรือไม่

“ปัจจุบัน คนไทยเดินทางโดยสายการบินโลคอสจำนวนมาก และสนามบินสุวรรณภูมิมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ร้านอาหารควรขายในราคาเป็นธรรม แม้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้บริการก็ควรดูให้เหมาะสม สตง.จึงต้องตรวจสอบเรื่องเอกสารสัญญาเช่าตกลงร่วมกันอย่างไร” ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว