รับมือศก.จีนเขย่าหุ้นทั้งปี บจ.พร้อมพยุงหุ้น/ลุ้นไตรมาสแรก‘ทอง’พุ่ง 2หมื่น

13 ม.ค. 2559 | 09:00 น.
ตลาดหุ้นเลือดหยุดไหลชั่วคราวจากเอฟเฟกต์จีน "ก้องเกียรติ" เผยหากปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าไปกว่านี้จะทำให้ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนกลับมาอีกครั้ง ตลท.เผยมี บจ.พร้อมซื้อหุ้นคืน 6 โครงการ นักวิเคราะห์คาดดัชนีหุ้นไทยรอบนี้ 1,140 จุด เอาอยู่ อุปนายกสมาคมทองคำ คาดภายในไตรมาสแรกได้เห็นทองคำแตะบาทละ 2 หมื่นบาท หลังสัปดาห์แรกของเดือนสวิงพุ่ง 550 บาท

เลือดหยุดไหลชั่วคราวสำหรับหุ้นโลกและหุ้นไทยในวันที่ 8 มกราคม หลังเปิดสัปดาห์แรกของปี 2559 ถูกกระหน่ำจากปัจจัยลบเรื่องเดิม ที่ตามมาหลอนอีกระรอก คือ ความกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอ และราคาน้ำมันดิบโลกยังดิ่งแรง ส่วนปัจจัยในประเทศ หุ้นกลุ่ม 4G ถูกเทกระจาดอีกรอบ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ หรือนิวโลว์ในรอบ 2 ปี หวิดแตะ 1,200 จุด ซึ่งเป็นจุดที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าเป็นแนวต้านที่สำคัญมาก และถือเป็นฟางเส้นสุดท้าย

ด้านการเคลื่อนไหวของราคาทองคำสัปดาห์เดียว ( 4-8 ม.ค. 2559 ) พุ่งขึ้น 550 บาท จากความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน ความไม่สงบในตะวันออกกลาง(ความขัดแย้งระหว่างซาอุฯ-อิหร่าน) และความไม่สงบในคาบสมุทรเกาหลีหลังมีการทดลองนิวเคลียร์

ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2559 สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์พุ่งขึ้น 15.9 ดอลลาร์ หรือ 1.45% ปิดที่ 1,107.80 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศเมื่อวันที่ 7 มกราคม พุ่งขึ้นถึงบาทละ 300 บาท ก่อนที่ปิดตลาดราคาทองคำปรับขึ้นรวม 200 บาท และเมื่อ 8 มกราคา ราคาทองปรับขึ้นอีก 50 บาท รวมตลอดทั้งสัปดาห์ราคาทองเคลื่อนไหว 550 บาท (เมื่อ 4 ม.ค.59 ราคาขายทองคำแท่งอยู่ที่บาทละ 18,350 บาท และเมื่อวันที่ 8 มกราคมราคาขายทองคำแท่งอยู่ที่บาทละ 18,900 บาท )

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า หุ้นไทยมีความผันผวน และปรับลดลงต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากปัจจัยต่างประเทศกดดัน โดยเฉพาะในประเทศจีนที่ยังมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก แต่ ตลท. มองว่ามาตรการในปัจจุบันเพียงพอและสามารถบริหารจัดการในการลงทุนซื้อขายได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่มมาตรการเข้ามาช่วยเหลือ

สำหรับภาพรวมของการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ในปีนี้มีจำนวนโครงการซื้อหุ้นคืน ของ บจ.ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินงานจำนวน 6 โครงการ โดยการซื้อหุ้นคืนมีวัตถุประสงค์เพื่อพยุงราคาหุ้นให้อยู่ระดับที่เหมาะสม และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น

ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน)(บมจ.) กล่าวว่า หุ้นโลกและหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นจีน ปรับตัวในแดนบวกได้เล็กน้อยเป็นผลจากทางการจีนยกเลิกมาตรการปิดตลาดหุ้นชั่วคราว หรือเซอร์กิต เบรกเกอร์ ออกไป และไม่ได้มีการปล่อยให้หยวนอ่อนค่ามากเกินไป และถือเป็นแนวโน้มที่ดีว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนน่าจะยังทำได้ แต่หากปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าไปกว่านี้จะทำให้ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนกลับมาอีกครั้ง

สำหรับคำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนไม่ควรไปมองภาพใหญ่ของดัชนีฯ แต่ให้เลือกเล่นหุ้นรายตัว ที่มีกระแสเงินสดที่แข็งแรง ราคาถูก ซึ่งปัจจุบันเป็นโอกาสของผู้ซื้อที่ควรทยอยลงทุน ไม่ใช่ลงทุนครั้งเดียวทั้งหมด พร้อมทั้งแนะนำกลุ่มสื่อสารที่เริ่มกลับมามีเสถียรภาพ และกลุ่มธนาคารที่ใกล้จะมีเสถียรภาพแล้ว ส่วนน้ำมันยังต้องรอดูสถานการณ์ราคาน้ำมันในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ฯ มองว่าการปรับตัวลงของหุ้นไทยรอบนี้ไม่ได้เป็นเพราะปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นเพราะปัจจัยแวดล้อมภายนอกและการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน และคาดว่าระดับดัชนีที่ 1,140 จุดน่าจะเป็นระดับที่รับอยู่ได้ในรอบนี้ ส่วนกลยุทธ์การลงทุน หลังจากที่ทยอยเข้าสะสมหุ้นไปแล้วที่ระดับดัชนี 1,240-1,250 จุด แนะนำถือหุ้นดังกล่าวและถือเงินสดในส่วนที่เหลือเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไป โดยให้แนวรับ 1,200 แนวต้าน 1,238 จุด

นายพิชญา พิสุทธิกุล อุปนายกสมาคมค้าทองคำ ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ราคาทองคำ เชื่อว่าจะแตะบาทละ 2 หมื่นบาทภายในไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อแนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลก มาจากสถานการณ์ราคาน้ำมัน และเศรษฐกิจจีน

นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บจก.จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ทองคำยังคงได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีนที่ให้ทิศทางตลาดทุนส่วนใหญ่อ่อนตัว นอกจากนี้ความเสี่ยงด้านความมั่นคงโลกกรณีการทดลองอาวุธของเกาหลีเหนือ ข้อพิพาทระหว่างซาอุฯกับอิหร่าน เป็นต้น เป้าหมายราคาระยะสั้นอยู่ในกรอบ 1,115-1,120 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,121 วันที่ 10-13 มกราคม พ.ศ. 2559