เชฟโรเลต จัดกิจกรรม “เชฟฯรักษ์ช้างป่า” โดยยกพลสื่อมวลชนจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อร่วมทดสอบสมรรถนะของปิกอัพ “โคโลราโด เซนเทนเนียล อิดิชัน ปี 2018 และโคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม” ระยะทางไป-กลับมากกว่า 500 กิโลเมตร ซึ่งทริปนี้สื่อมวลชนยังร่วมทำกิจกรรมสร้างโป่งเทียมเพื่อช้างและสัตว์ป่า ณ ป่าละอู ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานอีกด้วย
สำหรับปิกอัพ “โคโลราโด เซนเทนเนียล อิดิชัน ปี 2018 และ โคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม” เป็นเรือธงจากค่ายเชฟโรเลต ที่เพิ่งจะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเชฟโรเลตภูมิใจนำเสนอรถรุ่นนี้เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นโปรดักต์ที่ฉลองครบรอบ 100 ปีของต้นกำเนิดปิกอัพเชฟโรเลตในโลกใบนี้ และที่สำคัญ โคโลราโด เซนเทนเนียล อิดิชัน 2018 ยังผลิตเพียง 100 คันสำหรับตลาดในประเทศไทย
โดยรถรุ่นพิเศษนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ ดีเซล 4 สูบ เทอร์โบแปรผัน (Variable Geometry Turbocharger - VGT) ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (132 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร (325 ฟุต-ปอนด์) ที่ 2,000 รอบต่อนาที มาตรฐานไอเสียยูโร 4 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือก
ส่วนคุณสมบัติหรือฟังก์ชันเด็ดที่เชฟโรเลตใส่เข้ามาในรถรุ่นใหม่ อาทิ ระบบมายลิงก์รุ่นใหม่ ระบบสั่งการด้วยเสียง สิริ อายส์ ฟรี และครั้งแรกในปิกอัพระดับเดียวกันกับฟังก์ชันรีโมตสตาร์ต นอกจากนั้นแล้วยังปรับปรุงช่วงล่างใหม่ และระบบเบรกใหม่
สำหรับราคามีให้เลือกทั้งแบบโคโลราโด 2.5 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2 ประตู เกียร์ธรรมดา เซนเทนเนียล อิดิชัน เริ่มต้นที่ 8.14 แสนบาท และสูงสุดในรุ่น โคโลราโด 2.5 ลิตรขับเคลื่อน 2ล้อ 4 ประตู ไฮ คันทรี เซนเทนเนียล อิดิชั่น ราคา 1,103,000 บาท
ขณะที่โคโลราโด 2.5 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2 ประตู และ 4 ประตู เกียร์ธรรมดา เซนเทนเนียล อิดิชัน มีตัวถังสีขาว Summit White และสีนํ้าเงิน Blue Me Away Metallic ส่วนรุ่นโคโลราโด 2.5 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2 ประตู และขับเคลื่อนสี่ล้อ 4 ประตู ไฮ คันทรี เซนเทนเนียล อิดิชันมีตัวถังสีขาว SummitWhite
ถือเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับรถรุ่นใหม่นี้ ซึ่งก่อนจะออกเดินทาง “ฐานยานยนต์” ได้ลองสำรวจรูปร่างหน้าตากันเล็กน้อย โดยความพิเศษของการครบรอบ 100 ปี ดังนั้นเจ้ารถรุ่นนี้ก็จะเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นโลโกโบว์ไทฉลองครบรอบปิกอัพ 100 ปี ตราสัญลักษณ์ฉลองครบรอบกระบะ 100 ปี
สติกเกอร์สีดำรุ่นพิเศษด้านบนฝากระโปรงหน้า และล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้วที่ดูดุเข้ม พื้นปูกระบะและชุดคิ้วล้อ รวมไปถึงสปอร์ตบาร์ ที่มีทั้งสีดำเงา และสีขาว เรียกว่าโชว์หรา มองจากจุดไหนก็จะเห็นตราสัญลักษณ์ครบรอบ 100 ปีติดอยู่ที่ตัวรถ
สำรวจตรวจสอบรูปร่างหน้าตารถใหม่กันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาออกเดินทางไปทดสอบสมรรถนะและทำกิจกรรม “เชฟฯรักษ์ช้างป่า” โดยจุดหมายปลายทางแรกที่สื่อมวลชนต้องแวะคือโรงงานนิยมค้าเกลือที่ผลิตเกลือดิบและแร่ธาตุ ซึ่งเป็นของสำคัญที่จะนำไปสร้างโป่งเทียมให้กับช้างและสัตว์ป่า โดยจุดนี้ก็ได้โชว์ความสามารถในการแบก นํ้าหนักบรรทุกถุงเกลือและถุงบรรจุแร่ธาตุที่มีนํ้าหนักรวมมากกว่า 500 กก. (ข้อมูลตามโบร์ชัวร์ระบุว่ารถรุ่นใหม่นี้สามารถบรรทุกของหนักได้สูงสุด 700 กก.)
แม้จะบรรทุกของหนัก แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินทาง โดยปิกอัพจากค่ายมะกันยังโชว์ความแข็งแกร่ง และตอบสนองได้ดี คงต้องยกความดีความชอบให้กับพวงมาลัยไฟฟ้าและขุมพลังดูราแม็กซ์ ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร อีกประการหนึ่งคือการปรับปรุงช่วงล่างใหม่ เมื่อผสานรวมกับแชสซีส์ที่มีความบึกบึนก็ทำให้รถปิกอัพรุ่นนี้มีความสมูธ แม้จะแบกนํ้าหนักมาก
หลังจากนั้นออกเดินทางและมุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีจุดหมายปลายทางคือศูนย์บริการข้อมูล ณ ป่าละอู เพื่อรับฟังข้อมูลจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการสร้างโป่งเทียม และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของคนและสัตว์ ซึ่งจุดประสงค์ในการสร้างโป่งเทียม เพื่อเป็นแหล่งอาหารให้กับสัตว์ป่า และเป็นการบรรเทาปัญหาช้างป่าบุกรุกเขตชุมชนซึ่งสร้างความเสียหายแก่เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านในพื้นที่
นอกจากนั้นแล้ว สื่อมวลชนยังช่วยสร้างรั้วกึ่งถาวรและร่วมกันทาสี ซึ่งรั้วนี้จะช่วยป้องกันช้างป่าบุกรุกเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่อันตรายได้ เช่นถนน
เมื่อรับฟังข้อมูลต่างๆแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ได้พาสื่อมวลชนเข้าไปยังจุดที่จะสร้างโป่งเทียม โดยสภาพถนนเป็นออฟโรด จุดนี้ “โคโลราโด เซนเทนเนียล อิดิชัน ปี 2018 และโคโลราโด ไฮ คันทรี สตอร์ม” ได้แสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่ในการบุกตะลุยกันแบบหัวสั่นหัวคลอน โดยใช้ทั้งโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ และขับเคลื่อน 2 ล้อ และแม้ว่าพื้นที่หลังกระบะจะขนของหนัก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะทุกคันสามารถฝ่าฟันเข้าไปในจุดที่สร้างโป่งเทียมได้
หลังจากทำกิจกรรมแล้วเสร็จ เหล่าสื่อมวลชนก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายคือปราณบุรี ซึ่งสภาพถนนช่วงนี้เป็นทางราบ สามารถทำความเร็วได้ ความรู้สึกสำหรับการนั่งอยู่ในห้องโดยสารถือว่าสบาย ไม่อึดอัด ทั้งที่นั่งในแถวหน้า และเบาะหลัง มีความนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง
โดยรวมๆถือเป็นปิกอัพที่มีของดีอยู่ในตัวเยอะเอาเป็นว่าใครที่อยากรู้ว่ามีดีอย่างไรจะถูกจริตจะถูกใจหรือไม่ก็ไปทดลองขับด้วยตัวเองที่โชว์รูมเชฟโรเลต หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจกันอีกทีว่าจะดีล!หรือไม่ดีล!!
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,335 วันที่ 28 - 31 มกราคม พ.ศ. 2561