Pizza อาหม่วย อร่อยติดอกติดใจ ยอดขายโตเท่าตัว
เกือบ 6 ปีที่แล้ว “Pizza อาหม่วย” โลดแล่นอยู่ในตลาด ภายใต้บริษัท วีโกลด์เบเกอรี่ จำกัด นับจากวันก่อตั้ง 12 เมษายน 2555 โดย “หมวย” วรนิษฐ์ โภคินมณีโรจน์ ผู้ก่อตั้ง เล่าให้ฟังว่า เกิดจากจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวชอบรับประทานพิซซ่า จึงเป็นตัวจุดประกายความคิดที่อยากจะทำพิซซ่าอร่อยในราคาที่ชาวบ้านธรรมดารายได้น้อยก็สามารถหาซื้อทานได้ โดยยึดทำเลหน้าบ้านย่านเพชรเกษม 48 คิกออฟ พิซซ่าถาดร้อนพร้อมเสิร์ฟ ทำให้ผู้บริโภคที่แวะเวียนเข้ามาอุดหนุน พากันติดอกติดใจ แถมช่วยออกแรงประชาสัมพันธ์บอกต่อปากต่อปากกันเป็นทอดๆ รวมถึงเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กให้ “Pizza อาหม่วย” ขายดิบขายดีจนถึงทุกวันนี้
++ติดตลาดตั้งแต่วันแรก
“Pizza อาหม่วย” ติดตลาดตั้งแต่วันแรกจนต่อเนื่องมาถึง 6 เดือนแรกที่เริ่มเปิดขาย ดูจากที่ทำ ให้มีรายได้ในช่วงเริ่มต้นมากถึงวันละไม่ตํ่ากว่า 2 หมื่นบาท ธุรกิจเติบโตจนขณะนี้มีหน้าพิซซ่าเกิดขึ้นแล้ว 12 หน้า มี 4 ขนาด ตั้งแต่ 1. ขนาด 3 เหลี่ยม ราคาชิ้นละ 35 บาท เป็นไซซ์สำหรับงานบวช งานฌาปนกิจ งานเลี้ยง และถ้าสั่งตั้งแต่ 100 ชิ้นขึ้นไปมีโปรโมชันแถมนํ้าเปล่าให้ 1 ขวดต่อ 1 ชิ้น และบริการส่งฟรี 2. ขนาดชิ้นเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว ในราคาชิ้นละ 59 บาท 3. ขนาด ชิ้นกลาง เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 นิ้ว ราคา 79 บาทต่อชิ้น และ 4. ขนาดชิ้นใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 9 นิ้ว ราคา 159 บาทต่อชิ้น แต่ละไซซ์สามารถเพิ่มชีสโดยเพิ่มเงินตั้งแต่ 20 บาท 30 บาท และ 40 บาทตามไซด์ ยกเว้นชิ้นละ 35 บาท ไม่มีรายการเพิ่มชีส
หมวย บอกว่าหน้าพิซซ่าที่ขายดีที่สุดคือ ฮาวาเอี้ยน และหน้าซีฟูด แต่หน้าที่อยากแนะนำคือ หน้าโฟร์ชีส จะมีชีสอย่างเดียว 4 ชนิด และหน้าต้มยำกุ้ง เนื่องจากมีความเข้มข้นของสมุนไพร เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว นํ้าพริกเผาออกรสชาติต้มยำกุ้ง
ปัจจุบัน “Pizza อาหม่วย” มีการผลิตต่อวันรวม 1,000 ถาดขึ้นไป มีช่องทางจำหน่ายตั้งแต่ลูกค้าโทร.สั่งโดยตรง ซึ่งในส่วนนี้มีทั้งรายใหม่และรายเก่าสั่งตรงทางโทรศัพท์ และเปิดขายหน้าร้านที่ดั้งเดิมในซอยวัดจันทร์ ย่านเพชรเกษม และเปิดแฟรนไชส์ทั่วประเทศ 40 สาขาครอบคลุม 9 จังหวัดคือ กทม. พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ราชบุรี ขอนแก่น กระบี่ ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช
[caption id="attachment_253826" align="aligncenter" width="423"]
วรนิษฐ์ โภคินมณีโรจน์[/caption]
++แผนธุรกิจปี 2561
จากการเติบโตดังกล่าวทำให้ปี 2561 เป็นอีกปีที่บริษัทต้องวางแผนขยับยอดขายให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยมีไอเดียทำพิซซ่าบรรจุใส่กล่องพร้อมรับประทานได้ทันที มีเป้าหมายวางขายตามร้านกาแฟ และโรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนนานาชาติ โดยจำหน่ายในราคา 39 บาทต่อกล่อง ในช่วงแรกจะเริ่มต้นที่หน้าซีฟูดก่อน เพราะคนที่นับถือศาสนาอิสลามก็สามารถรับประทานได้ จะเริ่มทดลองตลาดก่อนที่ 1,000 กล่องต่อวัน ซึ่งการขยายในรูปบรรจุลงกล่องพร้อมทานจะทำให้ลูกค้าแฟรนไชซีในต่างจังหวัดสามารถนำโมเดลแบบกล่องไปทำได้ด้วย
“ที่ผ่านมาเราต้องเสียลูกค้าไปจำนวนหนึ่งที่เข้ามาสั่งแบบด่วนๆสำหรับงานเลี้ยง แต่ไม่สามารถทำได้ทันในปริมาณที่มาก เมื่อรุกสู่รูปแบบกล่อง ก็จะขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น สามารถรับออร์เดอร์ที่เข้ามาได้ทั้งหมด ส่วนการเก็บรักษาแบบกล่อง สามารถเข้าตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน 15 วัน ในอุณหภูมิ 4 องศา ที่ช่องเย็นธรรมดา และใช้เวลาอุ่นได้ไม่เกิน 1 นาทีก็สามารถรับประทานได้แล้ว”
นอกจากนี้ในปี 2561 จะขยายสาขาแฟรนไซส์เพิ่มขึ้นจาก 40 สาขาเป็น 60 สาขาภายในปีนี้ โดยจะรุกไปยังจังหวัดใหม่ๆ มากขึ้น เช่น กาฬสินธุ์ ประจวบฯ เพชรบุรี
++ก.พาณิชย์แรงหนุนสำคัญ
หมวย บอกว่าส่วนหนึ่งที่ทำธุรกิจจนประสบผลสำเร็จนั้น มาจากความใส่ใจของกระทรวงพาณิชย์ด้วย เพราะมีโอกาสได้เข้าเรียนในโครงการ B2B รุ่นที่ 16 สอนเกี่ยวกับการทำเครื่องมือปฏิบัติการในการเปิดแฟรนไชส์ การร่างสัญญาแฟรนไชส์ และการทำแผนธุรกิจ ทำให้มีความรัดกุมในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยใช้เวลาเรียนฟรี 5 เดือนจนในปี 2559 ได้เข้าโครงการแฟรนไชส์สแตนดาร์ดได้รับมอบหนังสือรับรองผู้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ จากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อยืนยันว่า “Pizza อาหม่วย” เป็นสินค้าได้มาตรฐาน โดยจะผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกระทรวงพาณิชย์ทุก 2 ปี
++เป้ายอดขาย 20 ล้านบาท
แม้การทำธุรกิจจะราบรื่นและประสบความสำเร็จดีเกินคาด แต่ก็ยังมีอุปสรรคตรงที่สินค้าถูกมองว่าเป็นพิซซ่าบ้านๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกการผลิตจะคัดสรรวัตถุดิบดีมีคุณภาพ ผ่านการปรุงรสจนอร่อย สามารถพิสูจน์ได้ว่า “Pizza อาหม่วย” อร่อยไม่แพ้แบรนด์ดังในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาสินค้าวางขายในโมเดิร์นเทรดแล้ว
หมวย กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ปี 2561 ตั้งเป้ารายได้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากพิซซ่าบรรจุลงกล่องสามารถเข้าไปครองใจคนกิน “Pizza อาหม่วย” ได้เพิ่มขึ้น ยอดขายก็จะพุ่งปรี๊ดจาก 10 ล้านบาทเป็น 20 ล้านบาทภายในปีนี้
สัมภาษณ์โดย : งามตา สืบเชื้อวงค์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,335 วันที่ 28 - 31 มกราคม พ.ศ. 2561
“Pizza อาหม่วย” ติดตลาดตั้งแต่วันแรกจนต่อเนื่องมาถึง 6 เดือนแรกที่เริ่มเปิดขาย ดูจากที่ทำ ให้มีรายได้ในช่วงเริ่มต้นมากถึงวันละไม่ตํ่ากว่า 2 หมื่นบาท ธุรกิจเติบโตจนขณะนี้มีหน้าพิซซ่าเกิดขึ้นแล้ว 12 หน้า มี 4 ขนาด ตั้งแต่ 1. ขนาด 3 เหลี่ยม ราคาชิ้นละ 35 บาท เป็นไซซ์สำหรับงานบวช งานฌาปนกิจ งานเลี้ยง และถ้าสั่งตั้งแต่ 100 ชิ้นขึ้นไปมีโปรโมชันแถมนํ้าเปล่าให้ 1 ขวดต่อ 1 ชิ้น และบริการส่งฟรี 2. ขนาดชิ้นเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว ในราคาชิ้นละ 59 บาท 3. ขนาด ชิ้นกลาง เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 นิ้ว ราคา 79 บาทต่อชิ้น และ 4. ขนาดชิ้นใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 9 นิ้ว ราคา 159 บาทต่อชิ้น แต่ละไซซ์สามารถเพิ่มชีสโดยเพิ่มเงินตั้งแต่ 20 บาท 30 บาท และ 40 บาทตามไซด์ ยกเว้นชิ้นละ 35 บาท ไม่มีรายการเพิ่มชีส
ปัจจุบัน “Pizza อาหม่วย” มีการผลิตต่อวันรวม 1,000 ถาดขึ้นไป มีช่องทางจำหน่ายตั้งแต่ลูกค้าโทร.สั่งโดยตรง ซึ่งในส่วนนี้มีทั้งรายใหม่และรายเก่าสั่งตรงทางโทรศัพท์ และเปิดขายหน้าร้านที่ดั้งเดิมในซอยวัดจันทร์ ย่านเพชรเกษม และเปิดแฟรนไชส์ทั่วประเทศ 40 สาขาครอบคลุม 9 จังหวัดคือ กทม. พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ราชบุรี ขอนแก่น กระบี่ ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช
[caption id="attachment_253826" align="aligncenter" width="423"]
++แผนธุรกิจปี 2561
จากการเติบโตดังกล่าวทำให้ปี 2561 เป็นอีกปีที่บริษัทต้องวางแผนขยับยอดขายให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยมีไอเดียทำพิซซ่าบรรจุใส่กล่องพร้อมรับประทานได้ทันที มีเป้าหมายวางขายตามร้านกาแฟ และโรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนนานาชาติ โดยจำหน่ายในราคา 39 บาทต่อกล่อง ในช่วงแรกจะเริ่มต้นที่หน้าซีฟูดก่อน เพราะคนที่นับถือศาสนาอิสลามก็สามารถรับประทานได้ จะเริ่มทดลองตลาดก่อนที่ 1,000 กล่องต่อวัน ซึ่งการขยายในรูปบรรจุลงกล่องพร้อมทานจะทำให้ลูกค้าแฟรนไชซีในต่างจังหวัดสามารถนำโมเดลแบบกล่องไปทำได้ด้วย
“ที่ผ่านมาเราต้องเสียลูกค้าไปจำนวนหนึ่งที่เข้ามาสั่งแบบด่วนๆสำหรับงานเลี้ยง แต่ไม่สามารถทำได้ทันในปริมาณที่มาก เมื่อรุกสู่รูปแบบกล่อง ก็จะขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น สามารถรับออร์เดอร์ที่เข้ามาได้ทั้งหมด ส่วนการเก็บรักษาแบบกล่อง สามารถเข้าตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน 15 วัน ในอุณหภูมิ 4 องศา ที่ช่องเย็นธรรมดา และใช้เวลาอุ่นได้ไม่เกิน 1 นาทีก็สามารถรับประทานได้แล้ว”
นอกจากนี้ในปี 2561 จะขยายสาขาแฟรนไซส์เพิ่มขึ้นจาก 40 สาขาเป็น 60 สาขาภายในปีนี้ โดยจะรุกไปยังจังหวัดใหม่ๆ มากขึ้น เช่น กาฬสินธุ์ ประจวบฯ เพชรบุรี
หมวย บอกว่าส่วนหนึ่งที่ทำธุรกิจจนประสบผลสำเร็จนั้น มาจากความใส่ใจของกระทรวงพาณิชย์ด้วย เพราะมีโอกาสได้เข้าเรียนในโครงการ B2B รุ่นที่ 16 สอนเกี่ยวกับการทำเครื่องมือปฏิบัติการในการเปิดแฟรนไชส์ การร่างสัญญาแฟรนไชส์ และการทำแผนธุรกิจ ทำให้มีความรัดกุมในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยใช้เวลาเรียนฟรี 5 เดือนจนในปี 2559 ได้เข้าโครงการแฟรนไชส์สแตนดาร์ดได้รับมอบหนังสือรับรองผู้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ จากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อยืนยันว่า “Pizza อาหม่วย” เป็นสินค้าได้มาตรฐาน โดยจะผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกระทรวงพาณิชย์ทุก 2 ปี
แม้การทำธุรกิจจะราบรื่นและประสบความสำเร็จดีเกินคาด แต่ก็ยังมีอุปสรรคตรงที่สินค้าถูกมองว่าเป็นพิซซ่าบ้านๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกการผลิตจะคัดสรรวัตถุดิบดีมีคุณภาพ ผ่านการปรุงรสจนอร่อย สามารถพิสูจน์ได้ว่า “Pizza อาหม่วย” อร่อยไม่แพ้แบรนด์ดังในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาสินค้าวางขายในโมเดิร์นเทรดแล้ว
หมวย กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ปี 2561 ตั้งเป้ารายได้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากพิซซ่าบรรจุลงกล่องสามารถเข้าไปครองใจคนกิน “Pizza อาหม่วย” ได้เพิ่มขึ้น ยอดขายก็จะพุ่งปรี๊ดจาก 10 ล้านบาทเป็น 20 ล้านบาทภายในปีนี้
สัมภาษณ์โดย : งามตา สืบเชื้อวงค์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,335 วันที่ 28 - 31 มกราคม พ.ศ. 2561
