รีเนม ‘เซ็นทารา’ เป็น ‘CHi’ ปรับภาพลักษณ์ธุรกิจโรงแรมกลุ่มเซ็นทรัล สู่อินเตอร์
ตระกูลจิราธิวัฒน์ รีเนม "โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา" เป็น "เซ็นทรัล ฮอสพิทาลิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล" หรือ ซีเอชไอ โฟกัสภาพลักษณ์ รุกขยายเครือข่ายในต่างประเทศและไทยเพิ่มขึ้น ทั้งสร้างการรับรู้ว่าเป็นธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล ดันรายได้ปีนี้โต 2 ดิจิต ขณะที่แบรนด์ที่ใช้บริการบริหารโรงแรมทั้ง 5 แบรนด์จะยังเป็นเซ็นทาราอยู่เหมือนเดิม พร้อมกางแผนลงทุน 4 รีสอร์ตใหม่ เปิดตัวปี 61
[caption id="attachment_25737" align="aligncenter" width="600"]
แบรน์บริหารโรงแรมในเครือ เซ็นทรัล ฮอสพิทาลิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (CHI)[/caption]
นาย ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล ฮอสพิทาลิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในขณะนี้บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือCENTEL ได้เปลี่ยนชื่อเครื่องหมายทางการค้า จาก "โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา" เป็น "เซ็นทรัล ฮอสพิทาลิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล" มีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้สื่อสารได้อย่างชัดเจน ว่า เป็นธุรกิจโรงแรมที่บริหารโดยกลุ่มเซ็นทรัล เพราะภาพในวงกว้าง ทั้งยังมีอีกหลายคนไม่รู้เซ็นทารา เป็นธุรกิจโรงแรมในกลุ่มของเซ็นทรัล ซึ่งการรีเนม เป็นซีเอสไอ จะแสดงถึงความมุ่งมั่นในการขยายจำนวนโรงแรมทั้งในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่สถานะผู้นำในธุรกิจภาคบริการระดับโลกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนเฉพาะชื่อบริษัท ซึ่งเป็นผู้บริหารงานโรงแรมและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเซ็นทารา เท่านั้น แต่แบรนด์โรงแรมที่มีอยู่ทั้งหมดในเครือเซ็นทารา ก่อนหน้านี้ และการบริการต่างๆ ก็ยังคงใช้แบรนด์ต่างๆ ที่มีอยู่เหมือนเดิมทุกอย่าง ซึ่งมี 5 แบรนด์ (ตารางประกอบ) ได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์ ,เซ็นทารา , เซ็นทาราเรสซิเดนซ์และสวีท , เซ็นทาราบูติคคอลเลคชัน และโคซี่ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงแรม
อีกทั้งการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นซีเอชไอ (CHi) จะเป็นการชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างชื่อคอร์ปอเรต ซึ่งเป็นบริษัทหลัก และแบรนด์โรงแรมย่อยในเครืออย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังเป็นการแบ่งประเภทของธุรกิจ โดยแยกกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงแรม และบริษัทในกลุ่มเซ็นทรัลออกจากกัน อันจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และความร่วมแรงร่วมใจที่ดียิ่งขึ้นระหว่างบริษัทในเครือของครอบครัวเซ็นทรัล
ขณะที่เป้าหมายธุรกิจโรงแรม จะยังคงเน้นการเติบโตแบบตัวเลข 2 หลัก (2 ดิจิต) ปัจจุบันเซ็นทรัล ฮอสพิทาลิ้ตี้ฯ มีในโรงแรมในเครือ 74 แห่ง ตั้งอยู่ในไทย 48 แห่ง และในต่างประเทศ 26 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม มัลดีฟส์ ศรีลังกา บาหลี เซี่ยงไฮ้ อินโดนีเซีย เกาะมอริเชียส มหาสมุทรอินเดีย เอธิโอเปีย การ์ตา โอมาน และลาว และในปีนี้น่าจะเพิ่มโรงแรมในเครือขึ้นอีก 8-10 แห่ง ที่ก็มองไว้ว่ายุโรป คิวบา ตุรกี สเปน โดยเฉลี่ยจะรับบริหารโรงแรมเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10 โรงแรมต่อปี
นายธีระยุทธ ยังกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการลงทุนใหม่ของ CENTEL ที่จะเริ่มทยอยลงทุนในปีนี้เป็นต้นไป จะมีโรงแรมที่สร้างใหม่ 4 แห่ง ที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2561 โดยล่าสุดได้เช่าเกาะจากรัฐบาลมัลดีฟส์ 2 เกาะ เป็นเวลา 50 ปี เพื่อสร้าง 2 โรงแรมใหม่ ที่จะเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ขนาด 180-200 ห้อง เป็นโรงแรมแห่งที่ 3 และแห่งที่ 4 ที่มัลดีฟส์ โดยมีดีไซน์สำหรับรองรับลูกค้ากลุ่มคู่ฮันนีมูน ขณะที่อีกแห่งเป็นโรงแรมที่ดีไซน์มาสำหรับลูกค้ากลุ่มครอบครัว ทำให้จะมีโรงแรมใหม่ เพิ่มจากปัจจุบันที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว 2 แห่งที่มัลดีฟส์ คือ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ไอส์แลนด์รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะอารีอาทอล และโรงแรมเซ็นทารา ราส ฟูชิ รีสอร์ท แอนด์ สปา มัลดีฟส์ ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Giraavaru ซึ่งการขยายการลงทุนโรงแรมที่มัลดีฟส์เพิ่มขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นโรงแรมทำรายได้สูง จากปัจจุบันที่มี 2 แห่ง ก็ทำรายได้คิดเป็น 20% ดังนั้นการมีโรงแรมในมัลดีฟส์ ก็จะขยายฐานรายได้เพิ่มขึ้น
ส่วนโรงแรมใหม่ภายในประเทศ ที่เซ็นเทล จะลงทุน จะอยู่ภายใต้ แบรนด์ "โคซี่" เป็นแบรนด์โรงแรมแนวไลฟ์สไตล์ในราคาที่เข้าถึงได้ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ ปานกลางนิยมจองห้องพักออนไลน์และชื่นชอบความสะดวกสบายในราคาไม่แพง ห้องพักมีขนาด 18 ตารางเมตร โดยจะสร้าง 2 แห่ง คือ โรงแรมโคซี่ เกาะสมุย ซึ่งเป็นพื้นที่ของเซ็นทรัลพัฒนา และโรงแรมโคซี่ พัทยา ส่งผลให้เซ็นทารา ขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มเซ็กเมนต์ใหม่ ที่จะเป็นตลาดระดับ 3 ดาว จากเดิมที่กลุ่มของลูกค้าจะเป็นระดับ 4-5 ดาว
นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนขยายจำนวนห้องพักในโรงแรมที่มีอยู่ เพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยจะขยายห้องพักเพิ่มอีกราว 100 ห้อง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งอาคาร ในโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ขยายห้องพักอีก 80 ห้อง ที่โรงแรมเซ็นทารา กะรน ภูเก็ต เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,121 วันที่ 10 - 13 มกราคม พ.ศ. 2559
[caption id="attachment_25737" align="aligncenter" width="600"]
นาย ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล ฮอสพิทาลิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในขณะนี้บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือCENTEL ได้เปลี่ยนชื่อเครื่องหมายทางการค้า จาก "โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา" เป็น "เซ็นทรัล ฮอสพิทาลิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล" มีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้สื่อสารได้อย่างชัดเจน ว่า เป็นธุรกิจโรงแรมที่บริหารโดยกลุ่มเซ็นทรัล เพราะภาพในวงกว้าง ทั้งยังมีอีกหลายคนไม่รู้เซ็นทารา เป็นธุรกิจโรงแรมในกลุ่มของเซ็นทรัล ซึ่งการรีเนม เป็นซีเอสไอ จะแสดงถึงความมุ่งมั่นในการขยายจำนวนโรงแรมทั้งในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่สถานะผู้นำในธุรกิจภาคบริการระดับโลกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนเฉพาะชื่อบริษัท ซึ่งเป็นผู้บริหารงานโรงแรมและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเซ็นทารา เท่านั้น แต่แบรนด์โรงแรมที่มีอยู่ทั้งหมดในเครือเซ็นทารา ก่อนหน้านี้ และการบริการต่างๆ ก็ยังคงใช้แบรนด์ต่างๆ ที่มีอยู่เหมือนเดิมทุกอย่าง ซึ่งมี 5 แบรนด์ (ตารางประกอบ) ได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์ ,เซ็นทารา , เซ็นทาราเรสซิเดนซ์และสวีท , เซ็นทาราบูติคคอลเลคชัน และโคซี่ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงแรม
อีกทั้งการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นซีเอชไอ (CHi) จะเป็นการชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างชื่อคอร์ปอเรต ซึ่งเป็นบริษัทหลัก และแบรนด์โรงแรมย่อยในเครืออย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังเป็นการแบ่งประเภทของธุรกิจ โดยแยกกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงแรม และบริษัทในกลุ่มเซ็นทรัลออกจากกัน อันจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และความร่วมแรงร่วมใจที่ดียิ่งขึ้นระหว่างบริษัทในเครือของครอบครัวเซ็นทรัล
ขณะที่เป้าหมายธุรกิจโรงแรม จะยังคงเน้นการเติบโตแบบตัวเลข 2 หลัก (2 ดิจิต) ปัจจุบันเซ็นทรัล ฮอสพิทาลิ้ตี้ฯ มีในโรงแรมในเครือ 74 แห่ง ตั้งอยู่ในไทย 48 แห่ง และในต่างประเทศ 26 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม มัลดีฟส์ ศรีลังกา บาหลี เซี่ยงไฮ้ อินโดนีเซีย เกาะมอริเชียส มหาสมุทรอินเดีย เอธิโอเปีย การ์ตา โอมาน และลาว และในปีนี้น่าจะเพิ่มโรงแรมในเครือขึ้นอีก 8-10 แห่ง ที่ก็มองไว้ว่ายุโรป คิวบา ตุรกี สเปน โดยเฉลี่ยจะรับบริหารโรงแรมเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10 โรงแรมต่อปี
นายธีระยุทธ ยังกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการลงทุนใหม่ของ CENTEL ที่จะเริ่มทยอยลงทุนในปีนี้เป็นต้นไป จะมีโรงแรมที่สร้างใหม่ 4 แห่ง ที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2561 โดยล่าสุดได้เช่าเกาะจากรัฐบาลมัลดีฟส์ 2 เกาะ เป็นเวลา 50 ปี เพื่อสร้าง 2 โรงแรมใหม่ ที่จะเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ขนาด 180-200 ห้อง เป็นโรงแรมแห่งที่ 3 และแห่งที่ 4 ที่มัลดีฟส์ โดยมีดีไซน์สำหรับรองรับลูกค้ากลุ่มคู่ฮันนีมูน ขณะที่อีกแห่งเป็นโรงแรมที่ดีไซน์มาสำหรับลูกค้ากลุ่มครอบครัว ทำให้จะมีโรงแรมใหม่ เพิ่มจากปัจจุบันที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว 2 แห่งที่มัลดีฟส์ คือ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ไอส์แลนด์รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะอารีอาทอล และโรงแรมเซ็นทารา ราส ฟูชิ รีสอร์ท แอนด์ สปา มัลดีฟส์ ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Giraavaru ซึ่งการขยายการลงทุนโรงแรมที่มัลดีฟส์เพิ่มขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นโรงแรมทำรายได้สูง จากปัจจุบันที่มี 2 แห่ง ก็ทำรายได้คิดเป็น 20% ดังนั้นการมีโรงแรมในมัลดีฟส์ ก็จะขยายฐานรายได้เพิ่มขึ้น
ส่วนโรงแรมใหม่ภายในประเทศ ที่เซ็นเทล จะลงทุน จะอยู่ภายใต้ แบรนด์ "โคซี่" เป็นแบรนด์โรงแรมแนวไลฟ์สไตล์ในราคาที่เข้าถึงได้ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ ปานกลางนิยมจองห้องพักออนไลน์และชื่นชอบความสะดวกสบายในราคาไม่แพง ห้องพักมีขนาด 18 ตารางเมตร โดยจะสร้าง 2 แห่ง คือ โรงแรมโคซี่ เกาะสมุย ซึ่งเป็นพื้นที่ของเซ็นทรัลพัฒนา และโรงแรมโคซี่ พัทยา ส่งผลให้เซ็นทารา ขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มเซ็กเมนต์ใหม่ ที่จะเป็นตลาดระดับ 3 ดาว จากเดิมที่กลุ่มของลูกค้าจะเป็นระดับ 4-5 ดาว
นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนขยายจำนวนห้องพักในโรงแรมที่มีอยู่ เพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยจะขยายห้องพักเพิ่มอีกราว 100 ห้อง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งอาคาร ในโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ขยายห้องพักอีก 80 ห้อง ที่โรงแรมเซ็นทารา กะรน ภูเก็ต เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,121 วันที่ 10 - 13 มกราคม พ.ศ. 2559