สมคิดรุก “สานพลังประชารัฐ” สั่งทุกหน่วยเพิ่มศักยภาพ เดินหน้าขับเคลื่อนทุกพื้นที่

19 ม.ค. 2561 | 12:43 น.
- 19 ม.ค. 61 - นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานประชุมคณะกรรมการสานพลังประชารัฐ เปิดเผยภายหลังการประชุมแผนงานปี 2561 ว่า การประชุมวันนี้คณะทำงานได้จัดกลุ่มงานใหม่ออกเป็น 3 กลุ่ม จากเดิม 12 คณะ เพื่อให้การผลักดันการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายสมคิดกล่าวว่า 3 กลุ่มงานดังกล่าว คือ 1.กลุ่มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหัวหน้าคณะภาครัฐ และมีนายกานต์ ตระกูลฮุน บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย เป็นหัวหน้าคณะภาคเอกชน 18565

นายสมคิดกล่าวว่า 2.กลุ่มพัฒนาคุณภาพคน มีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะภาครัฐ และมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ บมจ.เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นหัวหน้าคณะภาคเอกชน และ 3.กลุ่มลดความเหลื่อมล้ำ มีนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะภาครัฐ และมีนายอิสระ ว่องกุศลกิจ จากกลุ่มบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด เป็นหัวหน้าคณะภาคเอกชน โดยจะให้แต่ละคณะทำงานไปวางแผนงานร่วมกัน ก่อนที่จะมีการเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบในเดือนก.พ.

นายสมคิดกล่าวว่า ในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือ Thailand 4.0 จะต้องผลักดัน Big Brother เพื่อให้เอกชนรายใหญ่เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ SMEs เป้าหมาย 300 ราย เพื่อให้ SMEs ที่มีรายได้เฉลี่ย 50 ล้านบาทต่อรายให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมถึงการตั้งบริษัทเพื่อทำ Online Booking Platform คิดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าต่างชาติไม่เกิน 10% ขณะที่ต่างชาติคิดค่าธรรมเนียม 15-30% 18576

นายสมคิดกล่าวว่า การจัดกิจกรรมการส่งเสริม Mice โดยให้จัดประชุมสัมนาในเมืองรอง 9 พื้นที่ จูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้า ด้วยแนวทาง Tax Refund Counter ในเมือง เพื่อคืนภาษี Vat เป็นเงินสด และเดินหน้าแผนเนรมิตจ.พระนครศรีอยุธยาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของโลก เป้าหมายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวอยุธยาขยายตัว 10 เท่า ภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า และมุ่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมฝั่งโขง 7 จังหวัด เชื่อมโยงการท่องเที่ยวในภาคอีสานติดกับ สปป.ลาว เพื่อดึงรายได้เข้าท้องถิ่น

นายสมคิดกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีแผนงานนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio economy) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก และเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ โดยแผนงานที่จะดำเนินการจะมีการเสนอให้แก้ไขกฎหมาย การตั้งโรงงานใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบหลักทุกพื้นที่ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ การปรับปรุง พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย โดยนำอ้อยไปผลิตสินค้าชนิดอื่นที่ไม่ใช้น้ำตาลทราย และจัดสรรวัตถุดิบให้เพียงพอต่ออุตสาหกรรมชีวภาพ 18572

นายสมคิดกล่าวว่า นอกจากนี้ จะส่งเสริมการตั้งเขตอุตสาหกรรมชีวภาพในพื้นที่ EEC ใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2560-2564 เขตอุตสาหกรรมชีวภาพภาคเหนือตอนล่าง (จ.นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ) เงินลงทุน 62,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2560-2569 เขตอุตสาหกรรมชีวภาพภาคอีสานตอนกลาง (จ.ขอนแก่น) เงินลงทุน 35,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2560-2569 การผลักดันโครงการพัฒนาเศรษฐกิจเคมีชีวภาพอย่างยั่งยืน เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาในเดือนก.พ.

“ซึ่งเป็นเงินลงทุนระยะ 10 ปีเกือบ 400,000 ล้านบาท เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรกว่า 2 เท่าตัว เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรมากกว่า 85,000 บาทต่อคนต่อปี” นายสมคิดกล่าว 18575

นายสมคิดกล่าวว่า ส่วนด้านการพัฒนาบุคคลากร มุ่งพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ผ่านศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพ การพัฒนา การจัดสรรที่ดินทำกินให้เพียงพอ ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากปัจจุบัน 85 แปลง ลดต้นทุนการผลิต 20% ผลิตนักเรียนอาชีวะ 1 แสนคนต่อปี การปั้นนักเรียนต้นแบบอัจฉริยะ 4,000 คนต่อปี เพื่อรองรับความต้องการแรงงานคุณภาพจำนวนมากของ EEC

“สำหรับเป้าหมายการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การสร้างอัตลักษณ์ท้องถิ่นทุกจงหวัดที่มี Story อย่างน้อยภาคละ 4 จังหวัด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าท้องถิ่น ผ่านแนวคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม เพิ่มเติมจากวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่ในท้องถิ่น โครงการ Amazing thai Host ด้วยการจ้างผู้เกษียณอายุในท้องถิ่น อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 1,700 ราย ช่วยกระจายรายได้ 195 ล้านบาทสู่ท้องถิ่น” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว e-book