พาณิชย์ชี้ ค่าแรงขึ้นกระทบไม่ถึง 1% เฝ้าระวังราคาสินค้า-อาหารขึ้นฉวยโอกาส
พาณิชย์ชี้ขึ้นค่าแรงกระทบราคาสินค้าและบริการน้อย ไม่ถึง 1% ของต้นทุนการผลิต สั่งกรมการค้าภายในออกตรวจราคาสินค้า-อาหาร ป้องกันฉวยโอกาสอ้างค่าแรงพุ่ง พร้อมเชิญผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบหารือสัปดาห์หน้า
- 18 ม.ค. 61 - นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงผลกระทบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ว่า มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 0.08% ซึ่งทำให้กรอบการคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2561 เพิ่มขึ้นจากเดิม 0.6-1.6% เป็น 0.7-1.7% ขณะที่ภาคการผลิต ในส่วนของต้นทุนค่าแรงในภาคการผลิตและบริการจะเพิ่มขึ้น 10,006 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.07% ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) โดยสาขาการผลิตและบริการที่มีต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ภาคบริการ แบ่งเป็น การก่อสร้าง การขายส่ง การขายปลัก การซ่อมยานยนต์ ซ่อมรถจักรยานยนต์ และโรงแรม, ภาคบริการด้านอาหาร, ภาคอุตสาหกรรม แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม การฟอกและตกแต่งหนังฟอก เครื่องจักรสำนักงาน โลหะขั้นมูลฐาน
“การขึ้นค่าแรงครั้งนี้ขึ้นทุกจังหวัดแต่ไม่เท่ากัน เฉลี่ยปรับขึ้น 3.4% ทำให้ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 305.44 บาท เป็น 315.9 บาท เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10.5 บาท จะกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตสินค้าสูงสุด 0.1% และต่ำสุดเฉลี่ย 0.008 % เท่านั้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคเพิ่มขึ้นตามอัตราแรงงานที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้แต่อย่างใด และทำให้ต้นทุนต่อการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น 0.05% หรือไม่ถึง 1% หรือจะเรียกว่าแทบไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเลย
แต่ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน (คน.) ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าโดยเฉพาะราคาสินค้าอาหารตามสั่ง อุปโภคบริโภคและขอให้ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปรับขึ้นราคาด้วยการที่ผู้ประกอบการอ้างว่าปรับตามค่าแรงที่เพิ่มขึ้นให้ร้องเรียนมายังสายด่วน 1569 หากพบว่ามีการขายสินค้าเกินกว่าที่กำหนดเข้าข่ายกระทำผิดต่อกฎหมายว่าด้วยสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับต่อไป
ขณะเดียวกันในสัปดาห์หน้าก็จะเชิญผู้ประกอบการทั้งหมดเช่น ภาคอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ ภาคบริการ ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงมาหารือและรับฟังความคิดเห็นทั้งนี้ก็เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นายสนธิรัตน์ กล่าว
- 18 ม.ค. 61 - นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงผลกระทบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ว่า มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 0.08% ซึ่งทำให้กรอบการคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2561 เพิ่มขึ้นจากเดิม 0.6-1.6% เป็น 0.7-1.7% ขณะที่ภาคการผลิต ในส่วนของต้นทุนค่าแรงในภาคการผลิตและบริการจะเพิ่มขึ้น 10,006 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.07% ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) โดยสาขาการผลิตและบริการที่มีต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ภาคบริการ แบ่งเป็น การก่อสร้าง การขายส่ง การขายปลัก การซ่อมยานยนต์ ซ่อมรถจักรยานยนต์ และโรงแรม, ภาคบริการด้านอาหาร, ภาคอุตสาหกรรม แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม การฟอกและตกแต่งหนังฟอก เครื่องจักรสำนักงาน โลหะขั้นมูลฐาน
“การขึ้นค่าแรงครั้งนี้ขึ้นทุกจังหวัดแต่ไม่เท่ากัน เฉลี่ยปรับขึ้น 3.4% ทำให้ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 305.44 บาท เป็น 315.9 บาท เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10.5 บาท จะกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตสินค้าสูงสุด 0.1% และต่ำสุดเฉลี่ย 0.008 % เท่านั้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคเพิ่มขึ้นตามอัตราแรงงานที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้แต่อย่างใด และทำให้ต้นทุนต่อการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น 0.05% หรือไม่ถึง 1% หรือจะเรียกว่าแทบไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเลย
แต่ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน (คน.) ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าโดยเฉพาะราคาสินค้าอาหารตามสั่ง อุปโภคบริโภคและขอให้ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปรับขึ้นราคาด้วยการที่ผู้ประกอบการอ้างว่าปรับตามค่าแรงที่เพิ่มขึ้นให้ร้องเรียนมายังสายด่วน 1569 หากพบว่ามีการขายสินค้าเกินกว่าที่กำหนดเข้าข่ายกระทำผิดต่อกฎหมายว่าด้วยสินค้าและบริการ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับต่อไป
ขณะเดียวกันในสัปดาห์หน้าก็จะเชิญผู้ประกอบการทั้งหมดเช่น ภาคอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ ภาคบริการ ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงมาหารือและรับฟังความคิดเห็นทั้งนี้ก็เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นายสนธิรัตน์ กล่าว
