'ประกัน' เมินตลาดหุ้น! ชี้ชัด 'แพง-ผันผวน' - ขยับพอร์ตรับดอกเบี้ยขาขึ้น

17 ม.ค. 2561 | 11:11 น.
“ธุรกิจประกัน” เขย่าพอร์ตลงทุน รับทิศทางเศรษฐกิจปี 2561 สดใส-ดอกเบี้ยขาขึ้น ... “ไทยประกันชีวิต” ระวังลงทุนหุ้นสามัญเสี่ยงสูง เน้นลงตราสารหนี้-หุ้นกู้คุณภาพดี หวังยีลด์ 4-4.5% ... “เมืองไทยประกันภัย” เพิ่มน้ำหนักกองทุนอสังหาริมทรัพย์รับอานิสงส์โครงการภาครัฐ

บริษัทประกันที่มีพอร์ตลงทุนรวมกันนับล้านล้านบาท เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นสามัญ แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะทะยานขึ้นจนทุบสถิติสูงสุดในรอบ 43 ปีก็ตาม ขณะที่ ทิศทางเศรษฐกิจที่สดใสและแนวโน้มดอกเบี้ยขยับ ทำให้การออกหุ้นกู้ของเอกชนลดลง

น.ส.วรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มุมมองต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยเป็นบวก คาดว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้า ๆ จากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องที่มีอยู่มากในระบบจะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศไม่สามารถปรับสูงขึ้นมากนัก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นสามัญ ในปี 2561 ต้องระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น เพราะราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก

สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญ ก็คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยลบที่ต้องติดตาม คือ การลดมาตรการกระตุ้นทางการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และความผันผวนในตลาดที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้น


 

MP24-3331-AA

ดังนั้น แนวทางการลงทุนของบริษัทในปี 2561 ยังเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 87% และตราสารทุนประมาณ 13% โดยผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ประมาณ 4-4.5%

ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนของ ‘ไทยประกันชีวิต’ มีอยู่ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท โดยปกติพอร์ตการลงทุนจะเติบโตประมาณ 10% ต่อปี คาดว่า ภายในสิ้นปี 2561 พอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท

“ในปีที่ผ่านมา การเติบโตของเงินลงทุนเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากผลตอบแทนจากเงินลงทุนในหุ้นสามัญดีกว่าที่คาดการณ์ไว้”

นางปุณฑริกา ใบเงิน กรรมการรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปี 2561 จะเห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น การเมืองที่ชัดเจนและเริ่มนิ่ง ทำให้การลงทุนโครงการภาครัฐผ่านโครงสร้างพื้นฐาน จะมีเม็ดเงินทยอยออกมาสู่ระบบมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มก่อสร้าง อินฟราสตรักเจอร์ จะได้อานิสงส์ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อสร้าง รับเหมา น่าจะปรับดีขึ้น ขณะที่ ภาคอื่น ๆ เช่น ภาคบริการที่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้อง ก็น่าจะดีเช่นกัน


728x90-03

จากแนวโน้มดังกล่าว กรอบการลงทุนของ บริษัท เมืองไทยประกันภัยฯ จะเน้นระมัดระวังการลงทุนในหุ้น โดยคงกรอบการลงทุนใกล้เคียงปีที่ผ่านมา ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น จะเห็นการออกตราสารหนี้ในตลาดลดลง เนื่องจากผู้ออกจะมีต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเน้นเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือ กองทุน Property Fund ที่เห็นสัญญาณการเติบโตเพิ่มขึ้น มีหลายโครงการที่เริ่มออกสู่ตลาด ซึ่งไม่เฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว แต่รวมถึงอาคารสำนักงาน ตึก เป็นต้น จะเห็นว่ากองทุนรวมประเภทนี้จะให้ผลตอบแทน (Yield) ที่ชัดเจน และมีการจัดอันดับความเสี่ยง (Rating) เป็นตัวเลือกที่บริษัทจะเพิ่มการลงทุนมากขึ้น

ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ จะแบ่งเป็น การลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 30% และที่เหลืออีกประมาณ 70% จะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่คงที่ โดยกรอบเป้าหมายผลตอบแทนอยู่ที่ 4-6% ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 เนื่องจากอัตราผลตอบแทนขึ้นอยู่กับภาวะตลาด แต่คาดว่าในกรณีพื้นฐานผลตอบแทนจะอยู่เฉลี่ยกว่า 3% แต่หากตลาดค่อนข้างดีและมีกองทุนออกใหม่ อัตราผลตอบแทนจะอยู่ที่ราว 4-6% ส่วนในปี 2560 คาดว่าผลตอบแทนใกล้เคียงกับแผนที่ตั้งไว้ เนื่องจากตลาดไม่ได้ผันผวนมากนัก โดยไตรมาสที่ 3 ผลตอบแทนอยู่ที่ 3-4%

สำหรับพอร์ตการลงทุนของบริษัท ปัจจุบันอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายในปี 2561 พอร์ตจะปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตของขนาดธุรกิจ ซึ่งคาดว่า ทั้งระบบอุตสาหกรรมประกันน่าจะขยายการเติบโตอยู่ที่ 5% ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนของบริษัทขยายตัวสอดคล้องกับการเติบโตทั้งระบบ

 

[caption id="attachment_249995" align="aligncenter" width="361"] ตัน ฮาค เลห์ ตัน ฮาค เลห์[/caption]

นายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น พอร์ตการลงทุนของบริษัทที่มุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว ให้ผลตอบแทนคงที่ อาทิ ตราสารหนี้ พันธบัตร กองทุนที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์

นายสมศักดิ์ ไชยเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แอ๊ดวานซ์ไลฟ์ ประกันชีวิตฯ (เอไลฟ์) กล่าวว่า จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ขยับขึ้นเล็กน้อย จะเห็นว่า ฝั่งหุ้นตลาดต่างประเทศจะมีผลค่อนข้างเยอะ ส่วนตลาดทุนมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น ภาพรวมตลาดน่าจะดีขึ้น ดังนั้น บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนและน้ำหนักในตลาดทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ส่วนตลาดตราสารหนี้ มีทิศทางขยับขึ้นตาม บริษัทจึงกำลังหาจังหวะและโอกาสขยับจากการลงทุนระยะสั้น เป็นการลงทุนระยะยาวมากขึ้น

ปัจจุบัน สัดส่วนพอร์ตการลงทุนของบริษัทอยู่ที่เกือบ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ตราสารหนี้ประมาณกว่า 80% และที่เหลือจะเป็นเงินกู้ยืม และตราสารทุนไม่ถึง 5% โดยในปี 2561 บริษัทจะขยับพอร์ตการลงทุนในตราสารทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยตั้งกรอบเป้าหมายผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5%


หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,331 วันที่ 14-17 ม.ค. 2561 หน้า 24

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9