ย้อนไปปีที่แล้ว ผมมีโอกาสลองขับ “จากัวร์ เอฟ-เพซ” (Jaguar F-Pace) เอสยูวีรุ่นแรกของค่ายเสือกระโจนที่สมรรถนะออกแนวดุดันครับ เครื่องยนต์แรงสมเนื้อสมตัว ส่วนบุคลิกการควบคุมและช่วงล่างค่อนข้างสปอร์ตหนักหน่วง
ประเดิมศักราชใหม่ ผมนำพี่น้องร่วมท้องที่พัฒนาบนพื้นฐานวิศวกรรมเดียวกันอย่าง “เรนจ์ โรเวอร์ เวลาร์” (Range Rover Velar) มาทดสอบโดยตำแหน่งการทำตลาดอาจจะสูงกว่า“จากัวร์ เอฟ-เพซ” นิดๆ หรือราคาขายแพงกว่าหน่อย (ราคาเริ่มต้น 4.699 ล้านบาท)
บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการ นำเอสยูวีสายพันธุ์ใหม่ “เวลาร์”เข้ามาทำตลาดอย่างรวดเร็ว เพราะตลาดโลกเพิ่งเปิดตัวต้นปี 2560 จากนั้นช่วงไตรมาสที่ 3 ปีเดียวกันคนไทยก็มีโอกาสได้สัมผัสตัวเป็นๆ พร้อมแบ่งการทำตลาดเป็น 3 เกรด คือ S ราคา 5.999 ล้านบาท S R-Dynamic 6.499 ล้านบาท และตัวท็อปที่ผมลองขับ HSE 6.999 ล้านบาท
ทั้งหมดใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ 190 แรงม้า เหมือนกัน ต่างกันที่ออพชันการตกแต่งภายนอก-ภายใน และระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ใครอยากได้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรตัวแรงกว่านี้ ระดับ 240 แรงม้า หรือนิยมเครื่อง วี6 ขนาด 3.0 ลิตร ก็ลองติดต่อ “อินช์เคป” ให้เขาเป็นธุระจัดหาดูครับ แต่เชื่อว่าราคาคงขึ้นมาเป็นหลักล้านบาท (ก็ซื้อ “เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต” ไปเลยดีไหม)
สำหรับ “เรนจ์ โรเวอร์ เวลาร์” จะเข้ามาเสียบแทรกกลางระหว่าง “อีโวค” (Evoque) ที่ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาทกลางๆ กับเฟล็กชิพโมเดล “เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต” (Range Rover Sport) ราคา 8 ล้านบาท (กำลังจะมีรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด ขายเร็วๆนี้)
โดยคอนเซ็ปต์ในการพัฒนารถของ “เวลาร์” มีแนวทางชัดเจน ทั้ง การออกแบบ การขับขี่ และการใช้งาน ไม่วุ่นวายซับซ้อน ประมาณว่าเรียบหรูดูดีแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพในระดับของ“เรนจ์ โรเวอร์”
การออกแบบภายนอก-ภายใน เน้นเส้นสายสบายตา พร้อมการเลือกใช้วัสดุชั้นดีในการตกแต่ง ที่สำคัญต้องตอบสนองความสะดวกสบายในการใช้งาน
อย่างมือเปิดประตู ก็ออกแบบให้เก็บเรียบไปกับตัวถัง(บานประตู) ต้องกดปุ่มก่อนมือเปิดถึงจะยื่นออกมา ส่วนภายในห้องโดยสารก็อารมณ์สุนทรีย์ โดดเด่นด้วยจอทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว 2 จอ(บน-ล่าง) คอยแสดงผลและควบคุมฟังก์ชันการทำงานต่างๆ
แถมด้วยเบาะนวดคู่หน้าที่เลือกการกดจุดได้หลายตำแหน่งบนแผ่นหลัง และปรับความแรงได้ 5 ระดับ นั่งขับให้รถกดนวดไป ถึงที่หมายสบายตัวพอดีครับ
สำหรับตัวท็อปราคาเกือบ 7 ล้านบาทจะมีออพชันเพิ่มคือ หลังคาพาโนรามิกซันรูฟบานยาวเต็มหลังคา ระบบไฟหน้าแบบ Matrix LED (ปรับทิศทางของลำแสงอัตโนมัติ) พร้อมล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว เบาะนั่งใช้หนังแท้คุณภาพสูงและปรับระดับด้วยไฟฟ้าได้ 20 ทิศทาง
ด้านสมรรถนะการขับขี่ ในภาพรวมนุ่มนวลกว่า“จากัวร์ เอฟ-เพซ”พอสมควรครับ โดยเฉพาะการควบคุมและช่วงล่าง ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ 190 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ 8 สปีดของ ZF ตีนต้นพุ่ง สัมผัสถึงแรงกระชากเล็กๆ ขณะที่ย่านความเร็วอื่นๆ ถือว่าขุมพลังและเกียร์ตอบสนองได้ดี ส่วนความเร็ว 120 กม./ชม.บนเกียร์สูงสุด รอบเครื่องยนต์จะอยู่แถวๆ 1,900 รอบ
ผมยังชอบทัศนวิสัยการขับขี่ในมุมมองด้านหน้าที่กว้างได้ใจ ตำแหน่งของเสาเอ (A-Pillar) ถูกขยับมาทางด้านข้างให้มากที่สุด พร้อมตัวถังที่ยกสูงก็มองได้ไกล คาดสถานการณ์ล่วงหน้าได้เนิ่นๆ
โครงสร้างตัวถังใช้อะลูมิเนียมเป็นชิ้นส่วนหลัก ส่วนช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกคู่ หลังแบบอินทิกรัลลิงก์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมเทคโนโลยี Terrain Response โหมดขับขี่แบบอัตโนมัติตามสภาพ ภูมิประเทศและพื้นผิวถนน
อย่างเริ่มออกตัว รถจะแบ่งกำลัง ไปยังล้อหน้า/หลัง เท่ากันที่ 50/50 เพื่อความมั่นใจ แต่หลังจากนั้นจะแปรผันกำลังไปตามสภาพการขับขี่ และที่สุดยอดมากๆคือ สามารถส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าได้ถึง 100% (หลัง 0%) ขณะเดียวกันคนขับจะเลือกล็อกโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยตัวเองผ่านหน้าจอทัชสกรีนตรงคอนโซลกลางได้เช่นกัน
การทรงตัวนิ่งแน่นขับได้คล่องแคล่วมั่นใจ และเสริมด้วยระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมการตรวจสอบคนเดินถนน และระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชันหยุดและออกตัวอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า
อัตราบริโภคนํ้ามันเฉลี่ย “เรนจ์ โรเวอร์ เวลาร์” เคลมไว้ 18 กม./ลิตร ส่วนการขับจริงของผมเห็นตัวเลขประมาณ 7 ลิตร/100 กม. หรือประมาณ 14 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ...กล่าวกันว่า สิ่งที่ทุกคนมีเท่ากันตั้งแต่เกิดคือ “เวลา” แต่เชื่อเถิดครับในเวลาที่มีนั้น ต้นทุนและโอกาสของแต่ละคนก็ต่างกัน ดังนั้นใครที่แสวงหาโอกาสจากต้นทุนที่มีจำกัด แต่สามารถดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จ แล้ววันหนึ่งอยากให้รางวัลตัวเองด้วยรถยนต์ราคา 6-8 ล้านบาท ก็เหมาะสมดีครับ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,331 วันที่ 14 - 17 มกราคม พ.ศ. 2561