2 บริษัทเครือ STC โชว์แผน ปั๊มยอดปีจอพุ่ง 1.9 พันล้าน

16 ม.ค. 2561 | 23:05 น.
เอสทีซีกรุ๊ปรุกหนักปี 61 ลุยต่อยอดธุรกิจข้าว ทั้งข้าวอินทรีย์-สาหร่ายปรุงรสรุกตลาดในและต่างประเทศ เล็งเป้าปีนี้กว่า 1,900 ล้าน พร้อมขยับเตรียมทำตลาดออนไลน์ ปั้นสินค้าแบรนด์น้องใหม่ลุยตลาดได้เห็นโฉมกลางปีนี้

นายวัลลภ พิชญ์พงศา กรรมการผู้จัดการบริษัท แคปปิตัลเทรดดิ้ง จำกัด (บจก.) ในกลุ่มธุรกิจการค้าเครือเอสทีซี (นครหลวงค้าข้าว) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปี 2561 บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,760 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายข้าวสารในประเทศที่ 1,500 ล้านบาท ทั้งที่เป็นข้าวหอมมะลิอินทรีย์ (ข้าวไม่ใช้สารเคมีในการปลูก) และข้าวขาวบรรจุถุงในหลายขนาด เน้นทำตลาดผ่านช่องทางขายส่งและผ่านยี่ปั๊วทั่วประเทศ ใน 3 แบรนด์หลักได้แก่ ไทไท คุ้มแก้ว และเกวียนทอง ตั้งเป้าปีนี้ที่ 1 แสนตันจากปีที่ผ่านมาทำได้ที่ประ-มาณ 5.1 หมื่นตัน มูลค่า 750 ล้านบาท

[caption id="attachment_249597" align="aligncenter" width="503"] วัลลภ พิชญ์พงศา กรรมการผู้จัดการบริษัท แคปปิตัลเทรดดิ้ง จำกัด (บจก.) วัลลภ พิชญ์พงศา กรรมการผู้จัดการบริษัท แคปปิตัลเทรดดิ้ง จำกัด (บจก.)[/caption]

ขณะที่ในผลิตภัณฑ์สาหร่ายปรุงรสแบรนด์ซีลีโกะ (Seleco) ในปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 235 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าหมายที่ 260 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จะรักษาสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศต่อตลาดส่งออกไว้ที่ 55:45 โดยตลาดในประเทศผลิตภัณฑ์สาหร่ายซีลีโกะมีวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด และร้านค้าดั้งเดิม ซึ่งจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะหัวเมืองหลักที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนานมากในปีนี้ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต รวมถึงกรุงเทพฯ ส่วนตลาดส่งออกที่ผ่านมาสินค้าของบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายแล้ว 8 ประเทศในอาเซียนได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย รวมถึงในจีนและไต้หวัน

“ตลาด 4 อันดับแรกของเราที่ไปได้ดีคือจีน อินโดนีเซีย ไต้หวันและฟิลิปปินส์ ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นเด็กและวัยรุ่น ชูจุดขายกินแล้วดีต่อสุขภาพ และในปีนี้เรามีแผนจะขยายช่องทางตลาดร้านขายของฝากเพื่อเจาะตลาดนักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศช่วยเพิ่มยอดขาย”

tp8-3331-b นายวัลลภ ยังเปิดเผยในฐานะกรรมการผู้จัดการ บจก.ท็อปออร์แกนิกโปรดักส์ แอนด์ ซัพพลายฯ ว่า ในปี 2560 บริษัทมียอดขาย 124 ล้านบาท ในปี 2561 ตั้งเป้าหมายที่ 155 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% โดยในปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้ประมาณ 70% มาจากการส่งออกข้าวอินทรีย์(ข้าวออร์แกนิก) รวมถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์แปรรูป เช่น กะทิ เครื่องแกง ซอส นํ้าจิ้มต่างๆ นํ้าส้มจากข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยวและเส้นหมี่จากข้าวขาว จากข้าวกล้อง และแผ่นแป้งทำเปาะเปี๊ยะญวน เป็นต้น โดยที่กล่าวมามีตลาดหลักที่ยุโรปและอเมริกา ขณะที่รายได้อีก 30% มาจากการจำหน่ายข้าวอินทรีย์และข้าวขาวในประเทศในแบรนด์ไทไท และเกรทฮาเวสต์

728x90-03 อย่างไรก็ดีล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อดำเนินการทำตลาดค้าออนไลน์สินค้าออร์แกนิกในประเทศ โดยอยู่ระหว่างการตั้งชื่อและจดทะเทียนแบรนด์สินค้าใหม่ รวมถึงการคัดเลือกสินค้าในหมวดที่ส่งออกอยู่แล้วข้างต้นที่เห็นว่ามีศักยภาพเพื่อมาทำการค้าออนไลน์ มุ่งเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรักสุขภาพ และกลุ่มลูกค้าครอบครัวรุ่นใหม่ คาดจะเปิดตัวได้ในกลางปีนี้ หากไปได้ดีและสินค้าติดตลาดมีแผนจะนำสินค้าออร์แกนิกแบรนด์ใหม่ของบริษัทไปจำหน่ายในต่างประเทศในอนาคตด้วย

“เรากำลังมองกลุ่มลูกค้าในช่องทางการขายสินค้าออร์แกนิกออนไลน์ หากไปได้ดี และใหญ่พอทางเครืออาจพิจารณาตั้งขึ้นเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจ อาจชื่อว่ากลุ่มธุรกิจสินค้าอินทรีย์ หรือสินค้าเพื่อสุขภาพก็เป็นได้ จากปัจจุบันเครือเอสทีซีมี 8 กลุ่มธุรกิจได้แก่ กลุ่มธุรกิจข้าว มันสำปะหลัง การขนส่งสินค้า การค้า บรรจุภัณฑ์ การบริการ (ท่องเที่ยว) ไม้สับ และกลุ่มบริษัทร่วมทุน”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,331 วันที่ 14 - 17 มกราคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9