หลายคนเชื่อว่า“ความรัก”มาจากคำสั่งของหัวใจมากกว่าการใช้สมอง ใครที่กำลังอยู่ในห้วงลุ่มรัก หลงใหลคงเข้าใจการเปรียบเปรยนี้ได้ดี ทว่าเรื่องของรถยนต์การควบคุม การสั่งงาน ควรมาจากการตัดสินใจโดยสมองอย่างไม่มีข้อแม้ (ขับรถใจร้อนก็มีแต่เสียหาย) และกำลังก้าวหน้าไปถึงการดึงสัญญาณสมองออกมาเตรียมการวางแผนหรือช่วยตัดสินใจในการขับขี่แล้ว
[caption id="attachment_248815" align="aligncenter" width="503"]
นิสสัน ไอเอ็มเอ็กซ์ รถยนต์ต้นแบบรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ[/caption]
“นิสสัน”เป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่พัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง อันสอดคล้องกับรถพลังงานไฟฟ้า(อีวี) รุ่นดังอย่าง “ลีฟ” ที่เพิ่งเปิดตัวโฉมใหม่ไปหมาดๆ
ล่าสุดกำลังขมักเขม้นพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่ B2V (Brain-to-Vehicle) ที่จะทำให้ยานยนต์สามารถรับรู้และวิเคราะห์สัญญาณสมองของผู้ขับขี่ ช่วยทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ขับขี่รวดเร็วขึ้น และสามารถควบคุมการขับขี่ได้ดีมากขึ้น ซึ่งนิสสันจะนำไปจัดแสดงในงานเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ปี 2561 หรือ CES 2018 trade show ที่เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-12 มกราคมนี้
โดยเทคโนโลยี B2V เป็นวิวัฒนาการใหม่ภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ขององค์กรอย่าง “นิสสัน อินเทลลิเจ้นท์ โมบิลิตี้” มุ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับขี่ยานยนต์ในอนาคต รวมถึงการทำให้ยานยนต์ใช้พลังงานขับเคลื่อนที่สะอาด และเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของคนในสังคม
เทคโนโลยี B2V เป็นผลมาจากการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีถอดรหัสสมองของมนุษย์ เพื่อคาดการณ์การกระทำและตรวจจับความกังวลของผู้ขับขี่ ได้แก่
การคาดการณ์: โดยจับสัญญาณสมองก่อนที่ผู้ขับขี่จะลงมือทำการต่างๆ เช่น หมุนพวงมาลัย หรือเหยียบคันเร่ง เทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนตัวช่วยของผู้ขับขี่จะทำให้การกระทำนั้นเกิดได้รวดเร็วขึ้น ถือเป็นการช่วยเร่งปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ขับขี่และทำให้สามารถขับขี่ได้ดีมากยิ่งขึ้น
การตรวจจับ: โดยการจับและประเมินความกังวลของผู้ขับขี่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)สามารถเปลี่ยนลักษณะและรูปแบบการขับขี่ได้เมื่ออยู่ในโหมดขับขี่อัตโนมัติ
โดยผู้ขับขี่ต้องสวมใส่เครื่องจับการทำงานของสมอง ซึ่งจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยระบบขับขี่อัตโนมัติ และระบบสามารถสั่งให้ยานยนต์ทำงาน เช่น หมุนพวงมาลัย หรือชะลอความเร็วของรถได้อย่างนิ่มนวล และรวดเร็วขึ้น 0.2-0.5 วินาที โดยพิจารณาจากความคิดที่เกิดขึ้นของผู้ขับขี่
นอกจากนี้ B2V ยังสามารถปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในรถยนต์ และใช้เทคโนโลยีภาพเสมือน (Augmented Reality - AR) ในการปรับเปลี่ยนสิ่งที่คนขับมองเห็น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร ซึ่งงานค้นคว้านี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดนวัต กรรมใหม่ๆ ในยานยนต์ของนิสสันต่อไปในอนาคต
“เวลาที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ พวกเขายังคงไม่เห็นภาพที่มนุษย์ให้เทคโนโลยีเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่เทคโนโลยี B2V ได้ทำสิ่งที่แตกต่างออกไป ด้วยการจับสัญญาณสมองของผู้ขับขี่ ในการสร้างประสบการณ์ที่น่าสนุกและตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์นิสสัน อินเทลลิเจ้นท์ โมบิลิตี้ เรากำลังสร้างโลกที่ดีกว่าให้ทุกคนด้วยการนำเสนอเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะที่มีความอัตโนมัติมากขึ้น ใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น และสามารถเชื่อมต่อกันได้มากยิ่งขึ้น” นายแดเนียล สกิลลาชีประธานคณะกรรมการบริหาร ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ประเทศญี่ปุ่น ภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ คอร์เปอร์เรชั่น กล่าวสรุป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,330 วันที่ 11 - 13 มกราคม พ.ศ. 2561