งานคือ “ชีวิต” l โอฬาร สุขเกษม

05 ม.ค. 2559 | 03:26 น.
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมนักเศรษฐศาสตร์ของสังคมอเมริกัน รวมไปจนถึงผู้บริหารสถาบันการเงินกลางหรือธนาคารกลางสหรัฐฯที่เรียกว่า “เฟด” ทำไมเขาต้องเฝ้าดูอัตราการจ้างงานภายในประเทศว่าจะขยับขึ้นหรือขยับลง ตัวเลขนี้จะบ่งบอกอะไร ? สำคัญแค่ไหน !  ซึ่งเมื่อตัวเลขการจ้างงานแม้จะดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ทยอยปรับขึ้นเป็นลำดับ สุดท้ายเฟดก็มั่นใจจึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอย่างที่ทราบกัน

ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเขาสนใจตัวเลขการจ้างงานเป็นสาระสำคัญ เพราะเชื่อว่าตัวเลขนี้จะบ่งบอก “ความยากจน” ของคนในประเทศได้อย่างดี ซึ่งความยากจนก็หมายถึงเศรษฐกิจของประเทศตกอยู่ในภาวะชะลอตัวและถ้าตัวเลขคนตกงานเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขความยากจนในประเทศก็จะเพิ่มขึ้น และสะท้อนออกมาว่าเศรษฐกิจกำลังตกต่ำ ส่วนตัวเลขการว่างงานในประเทศไทยเป็นอย่างไรนั้น ก็ต้องบอกว่าเรามีอัตราการว่างงานที่ต่ำมากๆ มาหลายปีแล้ว แต่ตัวเลขนี้กำลังเปลี่ยนไป !

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ของไทยได้สำรวจภาวการณ์ทำงานของประชากรหรือสำรวจกำลังแรงงาน สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2558 พบว่า ประเทศไทยมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานหรืออายุ 15  ปีขึ้นไปจำนวน 55.29 ล้านคน จำแนกเป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 38.77 ล้านคน อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน ร้อยละ 70.12 ของประชากรวัยแรงงานทั้งหมดได้แก่ ผู้มีงานทำ 38.33 ล้านคน ผู้ว่างงาน 0.36 ล้านคน และผู้รอฤดูกาล 0.08 ล้านคน ขณะที่ผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวน 16.52 ล้านคน คิดเป็นอัตราผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน (Inactive Rate) ร้อยละ 29.87 จำแนกเป็นผู้ทำงานบ้าน 4.84 ล้านคน เรียนหนังสือ 4.44 ล้านคน เด็ก คนชราและคนที่ไม่สามารถทำงานได้มี 5.62 ล้านคน และอื่น ๆ 1.63 ล้านคน

ด้านอัตราการว่างงานของไทยจากการสำรวจพบว่าในช่วงเดียวกันพบว่า มีอัตราการว่างงานคิดจากจำนวนผู้ว่างงานต่อกำลังแรงงานอยู่ที่ร้อยละ 0.92  เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้วที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.88 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มี อัตราการว่างงานร้อยละ 0.84 สำหรับอัตราการว่างงานจำแนกตามเพศ พบว่า เพศชายอัตราการว่างงานสูงกว่าเพศหญิง คือ อัตราการว่างงานเพศชายอยู่ที่ร้อยละ 0.94 อัตราการว่างงานเพศหญิงอยู่ที่ร้อยละ 0.89

ส่วนตัวเลขล่าสุดตัวเลขอัตราการว่างงานจากกระทรวงแรงงานเมื่อเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมาในทุกกลุ่มการศึกษาอยู่ที่ระดับ 349,000 คน เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 9 ถือเป็นอัตราการว่างงานที่สูงสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งอดีตในช่วงที่ผ่านมาหลายปีเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 7 ทั้งยังเป็นอัตราแรงงานที่ว่างงานใหม่อยู่ถึง 180,000 คน ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักที่แรงงานใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

คุณธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) บอกว่า สภานายจ้างฯได้สำรวจความเห็นของนายจ้างและผู้ประกอบการเกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงานและค่าจ้างแรงงานปี 2559 ซึ่งพบว่านายจ้างที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภทร้อยละ 70  มีนโยบายจะไม่รับพนักงานใหม่เพิ่ม โดยยังคงอัตราเดิมไว้จากปี 2558 เช่นเดียวกับอัตราค่าจ้างที่ส่วนใหญ่ระบุว่าจะไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงให้กับลูกจ้างไปจนถึงกลางปี 2559  จากนั้นจึงจะหารือถึงภาพรวมของต้นทุนการผลิต การขายสินค้า อีกครั้งว่า มีความเหมาะสมที่จะปรับขึ้นค่าแรงให้กับลูกจ้างหรือไม่ เพราะนายจ้างก็ประสบกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน

สำหรับการคงอัตรากำลังคนของนายจ้าง ได้สอดคล้องกับทิศทางของอัตราการใช้กำลังผลิต ที่ปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับร้อยละ 58 ทำให้ยังเหลือกำลังการผลิตอีกพอสมควรที่จะขยับขึ้นได้ในปี 2559 ขณะที่ปัจจุบันลูกจ้างก็มีอัตราที่เกินปริมาณงานที่มีอยู่ ซึ่งนายจ้างก็พยายามรักษาจำนวนแรงงานเอาไว้ ไม่ปลดคนงานออกเพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาทางสังคมกับคนงาน หากไม่ประสบปัญหาด้านสภาพคล่องจริงๆ และต้องยอมรับว่าจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปีนี้ทำให้แนวโน้มอัตราการว่างงานของประเทศไทยเริ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนนักศึกษาที่จบการศึกษาเพิ่มขึ้นทุกๆปีและนักศึกษาที่จบการศึกษา แต่ยังไม่สามารถหางานทำได้

โดยภาพรวมแล้วปี ณ สิ้นปี 2558 แรงงานในระบบอุตสาหกรรมของไทยมีคนว่างงานเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยดังที่คุณธนิตกล่าวไว้ และแน่นอนผมเชื่อว่าคนว่างงานในภาคเกษตรปี 2558 ของไทยตัวเลขออกมาอย่างไรก็ต้องเพิ่มมากขึ้นเพราะเกิดภัยแล้ง และมีแนวโน้มว่าปี 2559 นี้จะแล้งหนักขึ้นตามภาวะภูมิอากาศ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงพุ่งเป้าไปที่การสร้างงานเพิ่ม รวมถึงการหาอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพในช่วงกำลังเผชิญหน้ากับภาวะภัยแล้งนี้

สังคมไทยกับสังคมตะวันตกจะต่างกัน เพราะหลายประเทศระบุชัดในกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าเป็นระบบรัฐสวัสดิการ หมายถึงรัฐดูแลประชาชนอย่างดีแม้ว่าไม่มีงานทำก็ยังได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐเป็นรายเดือน แต่ภายในระยะเวลากกำหนด และรายได้นั้นแค่พอประทังความหิวเท่านั้น ซึ่งเราจะเห็นในหลายประเทศในยุโรปในช่วงที่ผ่านมาและแม้ในขณะนี้ก็ยังแก้ปัญหาการว่างงานไม่ตก อาทิ สเปน กรีช โรมาเนีย อิตาลี ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ในเยอรมนีซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของยุโรปก็ตาม ก็ยังมีคนว่างงานอยู่มาก เราได้เห็นบางประเทศเปิดศูนย์ช่วยเหลือคนว่างงานหรือ “คนจน” โดยรับบริจาคสิ่งของจากห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าสินค้าที่เกือบหมดอายุแล้วนำมาเจือจานเพื่อแก้ความหิวโหยให้กับประชาชน

สำหรับสังคมไทยไม่ได้ดูแลกันถึงขนาดนั้น จะมีก็เฉพาะคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมเท่านั้นที่พอจะได้เงินชดเชยบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นก็ตามคนไทยคงไม่มีใครอดตายเพราะสังคมไทยเราพึ่งพิงครอบครัว(ใหญ่)ได้ ยังพึ่งพากันและกันได้บ้าง  เรายังสามารถดิ้นรนหาเงินกันได้จากการรับจ้างเล็กๆ น้อย หรือทำธุรกิจเล็กๆ น้อย เช่น ขายอาหารในชุมชน  หรือธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานเป็นต้นว่า “ขายถ่าน” หรือ “กรอกน้ำมัน” ใส่ขวดขายข้างถนนก็พอได้กินกันไปวันๆ ว่างๆ ก็ปิดล้อมเศรษฐกิจโดยการปลูกพืชสวนครัว หรือเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เป็นต้น สังคมตะวันตกจะปรับตัวแบบคนไทยได้ยากเพราะกฎหมายเขาเข้มงวดเหลือเกิน จะขายอาหารต้องมีใบอนุญาต มีการตรวจสอบคุณภาพ ตรวจสอบด้านสุขอนามัย คนไทยไม่ต้องเลย หาไม้มาทำโครงหลังคา หาป้ายโฆษณาเก่าๆ มุงยังแดดกันฝน หาไม้มาต่อเป็นโต๊ะเก้าอี ก็เปิดเพิงขายอาหารกันได้แล้ว

ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่ารวยหรือจนต่างก็มีหนี้ คือ ถ้าให้เช็คบิลผมว่า “เรียบร้อย”  ก็มีหนี้ต้องจ่าย หากไม่จ่ายก็ต้องหนี ซึ่งตัวเลขหนี้สินครัวเรือนของไทยทั้งประเทศ ณ สิ้นไตรมาสแรก 2558 คนไทยมีหนี้รวม 10.57 ล้านล้านบาท (ล้าน2ตัวนะครับ) เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 6.4 และหากไปเทียบกับจีดีพีของไทยแล้วคิดเป็นร้อยละ 79.9 ต่อจีดีพี ซึ่งปลายปี 2559 เราก็จะเห็นตัวเลขหนี้สินครัวเรือนไตรมาสแรกของปี 2559 ว่าหนี้จะเพิ่มหรือจะลดลงกันแน่ ส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ไตรมาส2 ปี 2558) โดยมีการผิดนัดชำระหนี้ เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 และบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 28.8 โดยสัดส่วนหนี้เสียต่อยอดคงค้างสินเชื่อเหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับคนเดินดินกินข้าวแกงแล้ว งาน คือ “ชีวิต” ไม่ว่างานจากการว่าจ้างหรืองานที่เราทำมาหากินเอง ถ้าเราไม่ทำงานและไม่ใช่คนในระบบราชการและรัฐวิสาหกิจ เมื่อไม่มีงานให้ทำหรือไม่ยอมทำงาน แม้ชีวิตเราจะดำรงอยู่ได้แต่ก็อาจอยู่อย่างไร้ความสุข เว้นแต่จะตัดกิเลสได้แล้วจริงๆ