ประเทศน่าทำธุรกิจปี2018 ‘อังกฤษ’สุดเซอร์ไพรส์เข้าวินอันดับ1

06 ม.ค. 2561 | 01:00 น.
นิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับประเทศที่จูงใจน่าเข้าไปลงทุนทำธุรกิจที่สุดในปีนี้ (Best Countries for Business 2018) ผลออกมาเหนือความคาดหมาย โดย “อังกฤษ” ซึ่งกำลังเจรจาจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) กลับทำคะแนนขึ้นมาอยู่ในอันดับ 1 เป็นครั้งแรก ขณะที่นิวซีแลนด์ แชมป์จากเอเชีย-แปซิฟิกยังสามารถรั้งตำแหน่งที่ 2 อย่างเหนียวแน่น 3 ปีติดต่อกัน

แม้ว่าการลงประชามติออกจากอียู (Brexit) เมื่อปี 2559 จะทำให้อังกฤษเผชิญภาวะเงินปอนด์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจในภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี มีการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปีที่ผ่านมา (2560) ถึง 1.8% ซึ่งหากเทียบกับประเทศในกลุ่ม G7 ด้วยกัน การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษก็เป็นรองแต่เพียงเยอรมนีที่จีดีพีขยายตัว 1.9%

TP9-3328-A ไม่เพียงเฉพาะจีดีพี ตัวแปรอื่นๆของอังกฤษอยู่ในเกณฑ์เหนือคาดหมายเช่นกัน ราคาบ้านปรับสูงขึ้น ขณะที่อัตราการว่างงาน (ปี 2560) ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.3% นับเป็นอัตราว่างงาน ที่ตํ่าที่สุดในรอบ 42 ปี แม้ว่ายังมีความไม่แน่นอนหลายประการจากข้อกำหนดที่ว่าอังกฤษจะต้องออกจากการเป็นสมาชิกอียูอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งทำให้บางบริษัทชะลอการลงทุนเพื่อรอดูว่าการออกจากอียูจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อบรรยากาศการค้า แต่ในภาพรวมกลับพบว่า มีหลากหลายตัวแปรที่ทำให้อังกฤษยังคงน่าดึงดูดใจในสายตานักลงทุน โดยในบรรดา 15 ตัวแปรที่ถูกนำมาพิจารณา อังกฤษได้คะแนนสูงอยู่ในอันดับต้นๆ ทุกตัวแปร ยกเว้นตัวแปรความเสี่ยงทางการเมืองที่ได้คะแนนในอันดับ 28

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด คือการเข้ามาลงทุนของบริษัทแอปเปิลฯ และเวลส์ ฟาร์โก ในกรุงลอนดอนเมื่อปีที่ผ่านมาแม้ว่าอังกฤษกำลังเจรจาแยกตัวออกจากอียู ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯสร้างสำนักงานใหญ่ประจำภาคพื้นยุโรปแห่งใหม่ในย่านธุรกิจการเงินของกรุงลอนดอน ส่วนแอปเปิลมีโครงการลงทุนสร้างศูนย์ปฏิบัติการบนพื้นที่ 500,000 ตารางฟุตภายในปี 2564 ขณะที่เฟซบุ๊กก็ได้ประกาศแผนสร้างสำนักงานประจำภาคพื้นยุโรปที่กรุงลอนดอนเช่นกัน โดยจะใช้พื้นที่ 700,000 ตารางฟุตสร้างออฟฟิศสำหรับพนักงาน 9,000 คน ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอังกฤษในระยะยาว ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจของอังกฤษใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก (มูลค่าจีดีพี 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ตัวแปรอื่นๆที่อังกฤษทำคะแนนได้ดี คือ ความพร้อมด้านเทคโนโลยี (อันดับ 4) ขนาดและคุณภาพการศึกษาของตลาดแรงงาน (อันดับ 3) นอกจากนี้ ลอนดอนยังคงเป็น 1 ใน 3 เมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการเงินโลก อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งแชมป์ของอังกฤษอาจเป็นเพียงระยะสั้นขึ้นอยู่กับว่าเมื่ออังกฤษแยกตัวออกจากอียูแล้ว บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่จะย้ายสำนักงานใหญ่ออกนอกอังกฤษมากน้อยเพียงใด และอังกฤษจะสามารถรักษาบุคลากรการศึกษาดี-มีความสามารถสูงเอาไว้ได้หรือไม่ก็เป็นอีกตัวแปรที่สำคัญ

++เกี่ยวกับการจัดอันดับ
ฟอร์บส์ทำการสำรวจและจัดอันดับประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในโลกมา 12 ปีแล้ว โดยให้คะแนน 15 ตัวแปรที่มีผลต่อแรงดึงดูดใจให้เข้าไปลงทุนทำธุรกิจ เช่น การเปิดเสรีทางการค้า การเงิน และเสรีภาพส่วนบุคคล การสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี การให้ความคุ้มครองการลงทุน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การให้สิทธิ์ในการถือครองที่ดิน ตลาดแรงงาน แรงจูงใจด้านภาษี ขั้นตอนและกฎระเบียบทางราชการ ความเสี่ยงทางการเมือง คุณภาพชีวิต ขนาดของเศรษฐกิจ ตลอดจนการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น โดยครั้งล่าสุดนี้ ตัวแปรด้านผลประกอบการตลาดหุ้นถูกตัดออกไป การสำรวจครอบคลุม 153 ประเทศทั่วโลก

ประเทศที่มักจะครองอันดับต้นๆ (มีแรงดึงดูดใจนักลงทุนสูงสุด) มักจะเป็นประเทศในแถบยุโรป ซึ่งในผลสำรวจล่าสุด มีประเทศแถบยุโรปครองตำแหน่งใน 20 อันดับแรกถึง 12 ประเทศ รวมถึงอังกฤษที่เข้าวินมาเป็นอันดับ 1 เป็นครั้งแรก (แม้กำลังจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในปี 2562 ก็ตาม) ขณะที่ประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิกที่เข้าอันดับลึกๆมาอยู่ใน Top10 นั้นได้แก่ นิวซีแลนด์ แคนาดา ฮ่องกง (ในอาณัติของจีน) และสิงคโปร์

ประเทศที่มีแรงดึงดูดใจการลงทุนน้อยที่สุดหรือในกลุ่มยอดแย่ (Worst Countries for Business) ส่วนใหญ่เป็นประเทศในแอฟริกา โดยประเทศชาด (Chad) นั้นรั้งท้าย 3 ปีติดต่อกันแล้ว เนื่องจากปัญหาการคอร์รัปชันและความยุ่งยากของกฎระเบียบราชการ ความไม่พร้อมด้านโครง สร้างพื้นฐาน และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ-ฝีมือ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,328 วันที่ 4 - 6 มกราคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9