ปฏิบัติการของกลุ่มไทยเบฟ ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่ยอมทุ่มเงินก้อนมหึมาเกือบ 1.6 แสนล้านบาท หรือประมาณ 5,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ไปซื้อหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 54% ในบริษัท เบียร์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไซง่อน จำกัด (Saigon Beer Alcohol Beverage Corp.) หรือ ซาเบโก ผู้ผลิตเบียร์อันดับ 1 ของเวียดนาม ซึ่งนับเป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่ามากที่สุดของประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้ ยังกลายเป็นประเด็นร้อนที่พูดคุยกันในตลาดหุ้น ตลาดเงินและนักธุรกิจในเวียดนาม จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์
เนื่องจากการตัดสินใจซื้อหุ้นในเบียร์ซาเบโกของเวียดนามถึง 1.6 แสนล้านบาท นั้นถือว่า “ไม่ธรรมดา”
เงิน 5,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ก้อนนี้ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับ
”งบประมาณ”ของกระทรวงวางแผนและการลงทุน และกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า 2 กระทรวงหลักของเวียดนาม ที่ได้รับการจัดสรรมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแต่ละปี
ที่สำคัญเงินก้อนนี้ มีค่าในการแลกกับการถือหุ้นแค่ 54% นั่นเท่ากับว่า มูลค่าของเบียร์ซาเบโก ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เบียร์ 3 ยี่ห้อ คือ เบียร์ซาเบโก เบียร์ไซ่ง่อน สเปเชียล และ เบียร์ บาร์ บาร์ บาร์ (ยี่ห้อ 333) ที่รัฐบาลเวียดนามเองก็คาดไม่ถึง จะมีมูลค่าจริงถึง 3.5 แสนล้านบาท หรือเกือบ 10,000 ล้านดอลล่าร์ ทั้งๆที่ครองตลาดอยู่แค่ 40.9%
มาร์เก็ตแชร์ส่วนที่เหลือเป็นเบียร์ไฮเนเก้น 23% เบียร์ฮาเบโก ของบริษัท ฮานอยเบียร์ฯ 18.4% คาร์ลสเบิร์ก 7.6% เบียร์ช้าง เบียร์สิงห์ ชิงเต่า ไทยเกอร์ 8.6% เบียร์ซัปโปโร 1.5%
ทุกสำนักในต่างประเทศล้วนประเมินไปในทางเดียวกันว่า การตัดสินใจซื้อเบียร์ซาเบโก 1.6 แสนล้านบาท ของเจ้าสัวเจริญ แลกกับการถือหุ้นใหญ่ 54% นั้น “โอเวอร์ ไพรซ์” หรือซื้อแพงเกินราคาจริงไปไม่น้อยกว่า 30-40%
นี่จึงเป็นสาเหตุที่สะท้อนออกมาในราคาหุ้น “ไทยเบฟ” ที่ซื้อขายในตลาดสิงคโปร์ว่าทำไม “ราคาหุ้นจึงทิ้งดิ่ง” ลงมาจากเดิมที่ซื้อขายกับหุ้นละ 0.95-0.98 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ทิ้งทุ่นลงมาซื้อขายกันที่ราคาหุ้นละ 0.90-0.92 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผิดกับช่วงที่กลุ่มไทยเบฟควักเงินเข้าซื้อกิจการบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ F&N ด้วยมูลค่ากว่า 336,000 ล้านบาท สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของการซื้อกิจการในอาเซียนเพื่อต่อยอดธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม โลจิสติกส์ ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ ที่ F&N มีอยู่ทั่วอาเซียน หุ้น TBEV มีความเคลื่อนไหวที่ “คึกคัก” ขึ้นมาทันที
ยิ่งเมื่อเจ้าสัวเจริญเทคโอเวอร์ บิ๊กซี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไก่ย่างKFC ราคาหุ้น TBEV เติบโตอย่างรวดเร็ว ไต่ระดับจากราคาเทรดวันแรก 0.28 ดอลล่าร์ฮ่องกง ไปจนราคาหุ้นขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 1.05 เหรียญสิงคโปร์ ก่อนจะปรับฐานลงมาซื้อขาย 0.95 เหรียญสิงคโปร์
อาจกล่าวได้ว่า กลยุทธ์การไล่ซื้อเทคโอเวอร์ของเจ้าสัวเจริญ เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้น TBEV คึกคักและกลายมาเป็น Growth Stock ที่หุ้น TBEV ถูกจัดอันดับให้เป็นหุ้นบลูชิพที่มีผลงานดีเป็นอันดับที่สามของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 27% มีมูลค่าตลาดรวม 21,600 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือ 540,000 ล้านบาท มีมาร์เกตแคปใหญ่อันดับเจ็ดของสิงคโปร์ ตามหลัง แบงก์ DBS หุ้น Singtel หุ้น Capital Mall ไปติดๆ แต่การซื้อเบียร์ซาเบโกรอบนี้กลับไม่ทำให้ราคาหุ้นไทยเบฟขยับขึ้นแม้แต่น้อย...
ผมมีโอกาสพูดคุยซักถาม ฟันด์ แมเนเจอร์ หนุ่มกลุ่มหนึ่งที่มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเป็นประจำ อาทิเช่น ซิตี้แบงก์ UOB DBS HSBC UOB เคเหงียน ราฟเฟิลส์ BNP พาริบาส์ ว่าทำไมเป็นเช่นนั้น คำตอบที่ได้รับคือ “ตลาดหุ้นมองปัจจุบันว่าซื้อแพงโอเวอร์ เพราะเงิน 1.6 แสนล้านบาทนั้น ถ้าคิดดอกเบี้ยในอัตราเฉลี่ยของเจ้าสัวแค่ 4% จะต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 6,400 ล้านบาท จากแต่ละปีที่กลุ่มไทยเบฟมีมูลค่าธุรกิจ 23,500 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ แต่ คุณเจริญ และ คุณหนุ่มฐาปน สิริวัฒนภักดี มองไปถึงอนาคต และแม้ว่าการซื้อรอบนี้แพง แต่ระยะยาวจะดีมาก เพราะตลาดเวียดนามโตแบบก้าวกระโดดปีละ 14-20%”
ที่สำคัญกว่านั้น ฟันด์แมเนเจอร์เหล่านี้บอกผมว่า ถึงตอนนี้คุณเจริญ ราคาเทคโอเวอร์แห่งไทยเบฟ ได้กลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญของรัฐบาลพรรคคอมมิสต์เวียดนาม ที่มี เหวียน ฝู่ จ็อง เป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เจิ่น ด่าย กวาง ผู้เป็นประธานประเทศ เหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรี และ เนางเหงียน ถิคิม ประธานรัฐสภา ของเวียดนาม ไปแล้ว เพราะเสนอราคาให้รัฐบาลชนิดที่ใครก็อ้าปากเหวอ คัดค้านไม่ได้ มีแต่คำขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ
การตัดสินใจซื้อหุ้นเบียร์ซาเบโกที่รัฐบาลเวียดนามแปรรูปรัฐวิสาหกิจของกลุ่มไทบเบฟในครั้งนี้ คิดเป็นเกือบ 1 ใน 5 ของเงินลงทุนโดยตรงในแต่ละปีที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามเลยทีเดีย เมื่อพิจารณาจากยอดเฉลี่ยปีละ 14,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
“เมล็ดเงิน” ที่เจ้าสัวเจริญผู้มีทรัพย์สิน 1.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 6 แสนล้านบาท ปลูกลงไปในเวียดนามนั้น ได้ทำให้เขากลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามไปแล้ว
แต่จะออกดอกผลเช่นเดียวกับการที่ “เคียกเม้ง แซ่โซว หรือนายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์” ที่ต่อมาได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น "สิริวัฒนภักดี" ไปเมื่อปี 2530 ในห้วงที่ยอมตัดสินใจเสนอราคาประมูลโรงเหล้า 12-32 โรง จากกรมสรรพสามิตที่หมดสัญญาลงด้วยมูลค่ากว่า 5,200 ล้านบาท ขณะที่คู่แข่งที่เป็นกลุ่มธุรกิจเศรษฐีโรงเหล้า 29 ราย ลงขันกันเสนอผลตอบแทนให้รัฐแค่ 3,200 ล้านบาท จนสามารถสร้างอาณาจักรเบียร์ช้าง ให้ก้องโลกในปัจจุบันหรือไม่ ต้องติดตามกันครับ
........................
คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา /หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /ฉบับ 3325 ระหว่างวันที่ 24-27 ธ.ค.2560