โอกาสประเทศไทย 2018

23 ธ.ค. 2560 | 01:48 น.
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ชี้โอกาสทองปี 2018 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งหลังห่างหายตั้งแต่วิกฤติปี 40 รัฐบาลจะสนับสนุนทุกวิถีทาง เพื่อให้ 2018 เป็นปีแห่งโอกาสการลงทุน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “โอกาสประเทศไทยปี2018” ในงานดินเนอร์ทอล์คจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ร่วมกับ “สปริงส์กรุ๊ป” เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม โดยลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่า คำว่าโอกาสได้หายไปจากพจนานุกรมของประเทศไทยไปนานพอควรและเริ่มสัมผัสเห็น ว่าประเทศไทยมีความผิดปกติตั้งแต่ปี 2540 ที่เกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง หนี้เสียเป็นแสนล้านบาท ธนาคารล้มละลาย-ไฟแนนซ์ถูกปิด มาในปี 2546 เกิดไข้หวัดนกรุนแรงปีเดียวกันยังเกิดสึนามิ และในปี 2549 ก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ เป็นจุดหักมุมสังคมขัดแย้งรุนแรงสะสมกันมา ถัดจากนั้นปี 2551 วิกฤติการเงินโลก อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปีถัดมา ติดลบ 2.3% แต่พอฟื้นขึ้นมาในปี 2554 ก็เกิดนํ้าท่วมครั้งใหญ่ การเมืองกลับร้อนแรงมากกว่าที่คิดเกิดความขัดแย้งทางสังคมเป็นครั้งที่รุนแรงเต็มบนท้องถนน หลายสิ่งหลายอย่างทำเหมือนว่า ประเทศไทยจะล้มเหลวเต็มที่แล้ว และในที่สุดปี 2557 เกิดปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง

“แค่ย้อนกลับไปคิดถึงความหลัง เราก็เหนื่อยแล้ว มันเหนื่อยมากที่ประเทศไทย ชํ้าพอสมควรโดยเฉพาะทางการเมืองชํ้ามากๆช่วงที่ผมเข้ามาตอนนั้นจีดีพีเหลือ 0.9% ความเชื่อมั่นหมด นักลงทุนไม่มาลงทุน นักท่องเที่ยวไม่มาเที่ยว ไม่รู้ว่าแสงสว่างปลายอุโมงค์อยู่ที่ตรงไหน ฉะนั้นในช่วงที่ผ่านมาถือว่าโอกาสมันหายไปจากจิตใจคนไทย เป็น “ทศวรรษที่สูญหายไป” ลองเทอมเกือบเป็นfail state

มาดูวันนี้แตกต่างอะไรจากอดีตเมื่อเทียบกับ5-6 ปีที่แล้ว เราไม่ได้บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างกระจายทั่วถึง จะเป็นไปได้อย่างไรแค่ 2-3 ปีจะให้แกร่งขึ้นทันที วิกฤติต้มยำกุ้งยังต้องใช้เวลากว่า 6 ปีจะฟื้นขึ้นมา แต่ถามว่า เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นบนท้องถนนวันนี้มีไหมสงบไหม” เขากล่าวและว่า

ช่วงเกิดปฏิวัติรัฐประหารใหม่ๆ (พฤษภาคม 2557) ไทยถูกกดดันจากประเทศมหาอำนาจข่มขู่มีธงแดงธงเหลืองมาสารพัดแต่ตอนนี้ ICAO (องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ) ปลดธงแดง, IUU (ในเรื่องการประมงที่ผิดกฎหมาย) รอปลดธงเหลืองเรื่องของSpecial Watch List ตอนนี้เหลือแค่ Watch list เรากลายเป็นประเทศคู่ค้าหรือจากเดิมที่สหภาพยุโรป (อียู) เป็นตัวตั้งตัวตีที่บอยคอตต์ไทยแต่มาวันนี้บอกว่ายินดีที่จะมีการเกี่ยวโยงทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งทุกระดับบอกว่าสามารถเจรจาลงนามFTA ได้ทุกเมื่อที่ไทยมีเลือกตั้งโดยที่ไทยไม่ร้องขอเขาซึ่งเรายินดีมากกับสิ่งที่เขาตัดสินใจเพราะศักดิ์ศรีประเทศเป็นเรื่องสำคัญ

[caption id="attachment_244651" align="aligncenter" width="503"] สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี[/caption]

**นักเที่ยวเพิ่ม34ล้านคน
นายสมคิด กล่าวว่าเศรษฐกิจวันนี้เริ่มฟื้นตัวขึ้นนักท่องเที่ยวเพิ่มถึง 34 ล้านคนเราไม่มีต่างชาติที่คอยแทรกแซงและถ้าไม่ใช่รัฐบาลประยุทธ์นำมาจะมีวันนี้ไหม?ผมไม่ได้เชียร์ท่านนายกรัฐมนตรี แต่ว่าเราต้องมีจิตเป็นธรรม ทุกคนมีดี-ชั่วมีแข็ง-อ่อน แต่อย่างน้อย 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ประเทศไทยยังคงดูเหมือนเป็นประเทศ ไม่วุ่นวายตีกันจนต่างชาติต้องเข้ามาแทรกแซงดังนั้นต้อง to be fair เพราะอย่างน้อยที่สุดคือมันดีขึ้นและสิ่งนี้เป็นโอกาสให้เราได้เริ่มเดินทำหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำครั้งนี้เรา (รัฐบาล) มีโอกาสหลังจากใช้เวลาผ่านมา 3 ปีจนฟื้นขึ้นมาแต่น่าเสียดายที่เหลือเวลา 1 ปีหรือปีเศษซึ่งทำนายไม่ได้ขึ้นกับคสช.

**ภูมิศาสตร์-อาเซียนเอื้อ
อย่างไรก็ดี โอกาสเริ่มมาแล้วอย่างน้อยคือความได้เปรียบจากความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ความเจริญและจุดโฟกัสของโลกที่มาทางเอเชียจีนอินเดียญี่ปุ่นเกาหลีใต้ประเทศเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงมาถึงอาเซียนเพราะอาเซียนเสมือนเป็นรอยต่อที่ทำให้ประเทศเหล่านี้ขับเคลื่อนไปได้เป็นซัพพลายและเส้นทางคมนาคมสำคัญ

ประเทศจีนใช้นโยบายOne Belt One Road มาเชื่อมโยงในเส้นทางเศรษฐกิจเหล่านี้ซึ่งผ่านประเทศไทยและเป็นประโยชน์กับอาเซียนขณะเดียวกันกระแสความต้องการให้มีIndo-Pacific แนวร่วมโดยเจตนาเพื่อถ่วงดุลกับประเทศมหาอำนาจอย่างจีนเชื่อมโยงตั้งแต่คาบสมุทรแปซิฟิกถึง ยูนนาน เมียนมา อินเดียเส้นนี้อย่างไรก็ต้องผ่านประเทศไทยเรามีเส้นทางรถไฟไทย-จีนผ่านทางหนองคายลงมา ตนกำลังมองว่าเส้นทางอีสต์-เวสต์คอร์ริดอร์” (East-West Economic Corridor) เชื่อมเศรษฐกิจมหาสมุทรอินเดีย- แปซิฟิกจะทันหรือไม่ขณะนี้ทาง Jbic (ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น )เริ่มส่งทีมเข้ามาศึกษาในหลายเส้นทางบ่งชี้ว่าแนวโน้มโอกาสเหล่านี้กำลังมาที่ไทยโอกาสเปิดแล้วแต่สำคัญว่าต้องรู้จักcreate opportunity ทำให้โอกาสเป็นความจริง

“ปีหน้าเป็นปีที่สำคัญมากเพราะเป็นปีที่เงื่อนไขสุกงอมเป็นปีที่ไทยดีขึ้นตามลำดับเราต้องใช้ประโยชน์จากปีนี้หลังจากนั้นจะมีการเลือกตั้งไม่ปลายปีหน้าก็ต้นปีถัดไปรัฐบาลจะเดินสายไปทีละประเทศที่สำคัญๆเราไม่สนใจเรื่องเอฟทีเอแล้วแต่จะเปลี่ยนมาเน้นการสร้างความสัมพันธ์ทางหุ้นส่วนเดินกลยุทธ์Strategic partnership อย่างเต็มที่ทั้งกับประเทศในเอเชียตะวันออกกลางและประเทศเอเชียอื่นๆ ต่อไปไทยจะเป็นประเทศที่พยายามชูธงมีบทบาทร่วมกับนานาประเทศเสียงดังขึ้นใช้เน็ทเวิร์คให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วในช่วงที่ตนเข้ามาบริหารจีดีพีเหลือ 0.9% แต่วันนี้เศรษฐกิจโต 4.3% ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าดีขึ้น แต่อาจไม่เป็นดั่งใจ เพราะสินค้าเกษตร ราคายางยังตก ซึ่งเป็นสิ่งที่การเมืองยากจะสู้ได้ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน แต่ตอนนี้หลายอย่างเริ่มกระเตื้องขึ้น ดูจากยอดขายค้าปลีก2ห้างใหญ่เดอะมอลล์เซ็นทรัล, อสังหา ริมทรัพย์เริ่มลงทุน ส่งออกเดือนพฤศจิกายนโต 13.4% และถ้าเดือน ธันวาคมได้ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งออกเฉลี่ยทั้งปีจะโต 10% จะทำให้การผลิตดีขึ้น เกิดการลงทุนเพิ่มและหากการอัดฉีดรากหญ้าเพียงพอฐาน รากหมุนจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งระบบ

“สถานการณ์ตอนนี้ฐานรากลำบาก แต่กลุ่มบนกลับดีเพราะได้อานิสงส์จากปี 2540 ทำให้กลุ่มนี้แข็งแรง ต่างกับวิกฤติต้มยำกุ้งที่กลุ่มบนพัง เราหวังว่าเงินอัดฉีดในระบบ 5% ให้กับเอสเอ็มอีที่ผ่าน ครม.ล่าสุดแสนล้านบาทและแบงก์รัฐด้วยกันจะเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูล

P01-3325-2a **ศก.-หุ้นพุ่ง
นายสมคิดกล่าวต่อว่าปี 2561 จะเป็นปีการเทกออฟ โดยเฉพาะการเติบโตในไตรมาส1/2561 รัฐบาลจะอัดฉีด เจาะนโยบายสำคัญบางอย่างที่จะเป็นการวางฐานอนาคตข้างหน้า และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (real sector) ให้ดีขึ้น

“เราอยากให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกปีหน้าแน่นหนาไม่อยากให้มีอะไรมาสะดุด”เขากล่าวพร้อมแสดงความมั่นใจว่าดัชนีหุ้นตอนนี้ที่ทะลุไปกว่า 1,700 จุด (ปิดตลาด 21/12/2560 ที่ 1,736.91)ในปีหน้าตลาดหุ้นจะร้อนแรง จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเอเชียที่ดีขึ้นเป็นโอกาสสำคัญสุดของเอกชนไทยที่จะเพิ่มทุน หลังจากหายไปหลายปีแล้วบริษัทไหนเข้าตลาดเพิ่มทุนได้เฮงสุดๆ”

**1 ปีพันธกิจด่วน
สำหรับ 1 ปีที่เหลือของรัฐบาล ได้จัดอันดับความสำคัญนโยบายเร่งด่วน เขาเล่าตอนหนึ่งว่า...ผมเกิดที่เยาวราชครอบครัวมีพี่น้อง 10 คน ได้เรียนเพราะได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาล จึงรู้ดีว่าคนจนต้องดิ้นรน ดังนั้นเมื่อมีโอกาสมา เราต้องตอบสนอง ผมเข้ารับตำแหน่งกระทรวงการคลังครั้งแรก เริ่มนโยบายการคลังเพื่อสังคม ทำธนาคารคนจนแต่ทำไม่จบเพราะมีอุปสรรคเสียก่อน แต่ครั้งนี้ผมจะทำให้จบ

รัฐบาลจะช่วยคนจน ใช้พันธมิตรจากแบงก์รัฐเข้ามาช่วยต่อยอดอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบวางเคพีไอให้หน2่วยงานรัฐทำ ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯได้ให้นโยบายชัดเจน พยายามประคองไม่ให้ราคาสินค้าเกษตรตกตํ่าผิดสังเกต การเข้าไปตรวจสต๊อกของผู้ประกอบการว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ถ้าพบความผิดปกติจะกำหนดเป็นสินค้าควบคุมเพื่อให้สามารถดูแลได้

“ราคายาง 15 ปีที่แล้วปลูกในภาคใต้เมื่อราคาดีขึ้นก็ไปปลูกเพิ่มที่อีสาน แต่ถามว่า 10 ปีที่ผ่านมามีการทำอะไรกับซัพ พลายไซด์หรือไม่ ไม่มี ผ่านมากี่รัฐบาล เมื่อซัพพลายตลาดเพิ่มตลาดโลกสินค้าตกตํ่าเพราะนํ้ามันถูก ดังนั้นถ้าจะมองว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย ต้องพยายามคิดใหม่ และคิดให้แฟร์”

**โค่นยาง-เที่ยวเมืองรอง
แนวทางหนึ่งในการยกระดับราคาก็คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก ให้คนทำเกษตรที่หลากหลายขึ้น รัฐจะไม่บอกให้ต้องโค่นยาง แต่จะมีวิธีจูงใจให้โค่น ให้ปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกโดยที่เกษตรกรไม่ต้องรับความเสี่ยง การบริหารจะเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เพราะบางพื้นที่แห้งแล้ง บางพื้นที่เข้าไปไม่ถึง และจะประสานกระทรวงพาณิชย์ให้เข้ามาช่วยทำตลาด

ด้านการท่องเที่ยวการส่งเสริม ท่องเที่ยวในเมืองรอง-ชุมชน อาทิเพชรบุรี ลำปาง ตาก สุราษฎร์ สมุย ฯลฯ ต้องสร้างธุรกิจใหม่ กระทรวงพาณิชย์ต้องไปช่วย
วิจัยทำการตลาดจับมือร่วมกับมหาวิทยาลัยและเอกชนก็ดีเพราะ 60% คือภาคบริการ และส่วนใหญ่ก็คือด้านท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย

ในขณะเดียวกัน จุดขายที่ยังเป็นโอกาสสำคัญปีหน้าคือ “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี ) เขายํ้าว่า อีอีซีเป็นความหวังของไทยที่จะต่อยอดและสร้างความเชื่อมั่น ถ้าไม่เริ่มทำสิ่งนี้ อนาคตจะไม่มีใครมาลงทุน แต่สำคัญเราต้องประยุกต์ สร้างจุดแข้งด้านอุตสาหกรรม คมนาคมขนส่งให้ได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,325 วันที่ 24 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9