ไทย-อิสราเอลผนึกนำเทคโนโลยี-นวัตกรรมขั้นสูงเพิ่มมูลค่าการค้า
'พาณิชย์’ เผยไทยและอิสราเอลพร้อมจับมือนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง เพิ่มมูลค่าการค้าสู่ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐปี63
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การเข้าพบของเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลครั้งนี้ ได้หารือเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือการค้าการลงทุน เนื่องจากไทยและอิสราเอลมีความสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนานกว่า 60 ปี และเป็นประเทศที่มีลักษณะทางเศรษฐกิจที่เกื้อหนุนกัน โดยอิสราเอลเป็นประเทศที่มีพัฒนาการทางเทคโนโลยี มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมขั้นสูง ไทยสามารถขยายความร่วมมือกับอิสราเอลในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม การวิจัยและการพัฒนา โดยเฉพาะด้านการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ยกระดับการเกษตรและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของไทยได้
ซึ่งอิสราเอลพร้อมร่วมมือและยังแสดงความสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ของไทยใน EEC โดยเฉพาะในสาขาที่อิสราเอลเชี่ยวชาญ อาทิ การแพทย์ครบวงจร การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เป็นต้นทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ครั้งที่ 2 ในปี 2561 ซึ่งอิสราเอลจะเป็นเจ้าภาพ โดยอิสราเอลเสนอใช้การประชุมนี้หารือเรื่องการจัดทำ FTAระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยให้สองประเทศบรรลุเป้าหมายทางการค้า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 ตามที่ตั้งไว้ ซึ่งในส่วนของไทย กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ไทย - อิสราเอล มีกำหนดแล้วเสร็จต้นปี 2561 จึงน่าจะใช้การประชุม JTC ครั้งที่ 2 หารือเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ร่วมกันได้
ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 5 ของไทยในกลุ่มภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของอิสราเอลในภูมิภาคอาเซียน (รองจากเวียดนามและมาเลเซีย) การค้าระหว่างไทยกับอิสราเอลในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (2555 - 2559) มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 1,180 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามาโดยตลอด ในปี 2559 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 1,070 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ไทยมีศักยภาพในอิสราเอล ได้แก่ สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าข้าว อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ ของประดับบ้าน สาขาที่ไทยมีศักยภาพเข้าไปลงทุน ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร การผลิตอาหารโคเชอร์
ปัจจุบันอิสราเอลได้จัดทำ FTA กับหลายประเทศแล้ว ได้แก่ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) แคนาดา ตุรกี เม็กซิโก ตลาดร่วมอเมริกาตอนใต้ (MERCOSUR) จอร์แดน โคลัมเบีย และปานามา นอกจากนั้น อิสราเอลยังอยู่ระหว่างการเจรจา FTA กับอินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม สาธารณรัฐเกาหลี และยูเครน และอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมถึงความเป็นไปได้ (Joint Study) ในการจัดทำ FTA กับกลุ่มสหภาพเศรษฐกิจ Eurasia (รัสเซีย คาซัคสถาน เบลารุส อาร์มาเนีย และคีร์กีซสถาน)
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การเข้าพบของเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลครั้งนี้ ได้หารือเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือการค้าการลงทุน เนื่องจากไทยและอิสราเอลมีความสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนานกว่า 60 ปี และเป็นประเทศที่มีลักษณะทางเศรษฐกิจที่เกื้อหนุนกัน โดยอิสราเอลเป็นประเทศที่มีพัฒนาการทางเทคโนโลยี มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมขั้นสูง ไทยสามารถขยายความร่วมมือกับอิสราเอลในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม การวิจัยและการพัฒนา โดยเฉพาะด้านการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ยกระดับการเกษตรและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของไทยได้
ซึ่งอิสราเอลพร้อมร่วมมือและยังแสดงความสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ของไทยใน EEC โดยเฉพาะในสาขาที่อิสราเอลเชี่ยวชาญ อาทิ การแพทย์ครบวงจร การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เป็นต้นทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ครั้งที่ 2 ในปี 2561 ซึ่งอิสราเอลจะเป็นเจ้าภาพ โดยอิสราเอลเสนอใช้การประชุมนี้หารือเรื่องการจัดทำ FTAระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยให้สองประเทศบรรลุเป้าหมายทางการค้า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 ตามที่ตั้งไว้ ซึ่งในส่วนของไทย กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ไทย - อิสราเอล มีกำหนดแล้วเสร็จต้นปี 2561 จึงน่าจะใช้การประชุม JTC ครั้งที่ 2 หารือเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ร่วมกันได้
ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 5 ของไทยในกลุ่มภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของอิสราเอลในภูมิภาคอาเซียน (รองจากเวียดนามและมาเลเซีย) การค้าระหว่างไทยกับอิสราเอลในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (2555 - 2559) มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 1,180 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามาโดยตลอด ในปี 2559 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 1,070 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ไทยมีศักยภาพในอิสราเอล ได้แก่ สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าข้าว อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ ของประดับบ้าน สาขาที่ไทยมีศักยภาพเข้าไปลงทุน ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร การผลิตอาหารโคเชอร์
ปัจจุบันอิสราเอลได้จัดทำ FTA กับหลายประเทศแล้ว ได้แก่ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) แคนาดา ตุรกี เม็กซิโก ตลาดร่วมอเมริกาตอนใต้ (MERCOSUR) จอร์แดน โคลัมเบีย และปานามา นอกจากนั้น อิสราเอลยังอยู่ระหว่างการเจรจา FTA กับอินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม สาธารณรัฐเกาหลี และยูเครน และอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมถึงความเป็นไปได้ (Joint Study) ในการจัดทำ FTA กับกลุ่มสหภาพเศรษฐกิจ Eurasia (รัสเซีย คาซัคสถาน เบลารุส อาร์มาเนีย และคีร์กีซสถาน)
