BCPG ลั่นผู้นำรีเทล ซื้อขายไฟฟ้าผ่านเน็ต
BCPG ปรับแผนธุรกิจเข้าสู่โหมดผู้นำรีเทล ผนึกพันธมิตรออสซี่ สร้างนวัตกรรมใหม่ “Blockchain Technology” ซื้อขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ตนำร่องโครงการ T 77 “บัณฑิต” ปูพรมปีหน้าสร้างโซลาร์รูฟท็อปปั๊มนํ้ามันบางจาก 50-100 แห่ง
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจีฯ (BCPG) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจของบริษัทได้ปรับเปลี่ยนจากเดิมเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ เป็นผู้ผลิตพลังงานขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง (รีเทล) ซึ่งใช้เวลา 5-10 ปี ในการพัฒนาให้การใช้พลังงานของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเป็นการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับ BCPG ด้วย โดยการทำธุรกิจรีเทล ไม่ได้มุ่งหวังในการขาย แต่สิ่งที่เสนอให้ลูกค้าคือ การช่วยให้ลูกค้าได้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 15% และยังขายไฟฟ้าได้ผ่านแพลตฟอร์มที่ดำเนินการโดยBCPG นำร่องในโครงการแรก T 77 ของบริษัท แสนสิริฯ (SIRI) ที่ประกอบด้วย โครงการ T 77 คอมมิวนิตีมอลล์ และโรงเรียน ซึ่ง BCPG ได้ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาให้ระยะสัญญา 25 ปี ซึ่งผู้ที่ซื้อขายไฟบนแพลตฟอร์ม จะใช้เงินดิจิตอลในการชำระการซื้อขายไฟฟ้า โครงการนี้ช่วยให้ทุกคนมีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลาสมํ่าเสมอ
[caption id="attachment_152590" align="aligncenter" width="503"]
บัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี ( BCPG )[/caption]
สำหรับแพลตฟอร์มดังกล่าว นี้ BCPG ได้ร่วมกับบริษัท พาวเวอร์เล็ดเจอร์ฯ ซึ่งเป็นพันธ-มิตรจากประเทศออสเตรเลีย ที่มีประสบการณ์ 5-6 ปี หรือ 3 เท่าของคนไทย และทีมงานมีความพร้อม รวมทั้งเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่ดีที่สุดด้านเทคโนโลยีของโลก เข้ามาสร้าง “Blockchain Technology” เป็นบล็อกเชน ที่ใช้ซื้อขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ตบนมือถือ ในรูปแบบ Peer-to-Peer คาดว่าดำเนินการได้ในต้นปี 2561
“อดีตโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ต้องสร้างสายส่งไกลๆ ต้น ทุนสูง กว่าจะมาถึงคนใช้ มีการสูญเสียระหว่างทาง อนาคตรูปแบบโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะเปลี่ยนไป ไม่จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่มีโรงไฟฟ้าบนหลังคาบ้าน หลังคาโรงงาน อพาร์ตเมนต์ หรือแม้หลังคาปั๊มนํ้ามัน ซึ่งปีหน้ามีแผนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาสถานีบริการนํ้ามันบางจาก 50-100 แห่ง จากทั้งหมดกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ต่อไปปั๊มนํ้ามันบางจาก ไม่ใช่มีแค่หัวจ่ายนํ้ามัน แต่สามารถค้าขายพลังงานไฟฟ้าได้ด้วยตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป” นายบัณฑิต กล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,324 วันที่ 21 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจีฯ (BCPG) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจของบริษัทได้ปรับเปลี่ยนจากเดิมเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ เป็นผู้ผลิตพลังงานขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง (รีเทล) ซึ่งใช้เวลา 5-10 ปี ในการพัฒนาให้การใช้พลังงานของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเป็นการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับ BCPG ด้วย โดยการทำธุรกิจรีเทล ไม่ได้มุ่งหวังในการขาย แต่สิ่งที่เสนอให้ลูกค้าคือ การช่วยให้ลูกค้าได้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 15% และยังขายไฟฟ้าได้ผ่านแพลตฟอร์มที่ดำเนินการโดยBCPG นำร่องในโครงการแรก T 77 ของบริษัท แสนสิริฯ (SIRI) ที่ประกอบด้วย โครงการ T 77 คอมมิวนิตีมอลล์ และโรงเรียน ซึ่ง BCPG ได้ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาให้ระยะสัญญา 25 ปี ซึ่งผู้ที่ซื้อขายไฟบนแพลตฟอร์ม จะใช้เงินดิจิตอลในการชำระการซื้อขายไฟฟ้า โครงการนี้ช่วยให้ทุกคนมีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลาสมํ่าเสมอ
[caption id="attachment_152590" align="aligncenter" width="503"]
สำหรับแพลตฟอร์มดังกล่าว นี้ BCPG ได้ร่วมกับบริษัท พาวเวอร์เล็ดเจอร์ฯ ซึ่งเป็นพันธ-มิตรจากประเทศออสเตรเลีย ที่มีประสบการณ์ 5-6 ปี หรือ 3 เท่าของคนไทย และทีมงานมีความพร้อม รวมทั้งเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่ดีที่สุดด้านเทคโนโลยีของโลก เข้ามาสร้าง “Blockchain Technology” เป็นบล็อกเชน ที่ใช้ซื้อขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ตบนมือถือ ในรูปแบบ Peer-to-Peer คาดว่าดำเนินการได้ในต้นปี 2561
“อดีตโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ต้องสร้างสายส่งไกลๆ ต้น ทุนสูง กว่าจะมาถึงคนใช้ มีการสูญเสียระหว่างทาง อนาคตรูปแบบโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะเปลี่ยนไป ไม่จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่มีโรงไฟฟ้าบนหลังคาบ้าน หลังคาโรงงาน อพาร์ตเมนต์ หรือแม้หลังคาปั๊มนํ้ามัน ซึ่งปีหน้ามีแผนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาสถานีบริการนํ้ามันบางจาก 50-100 แห่ง จากทั้งหมดกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ต่อไปปั๊มนํ้ามันบางจาก ไม่ใช่มีแค่หัวจ่ายนํ้ามัน แต่สามารถค้าขายพลังงานไฟฟ้าได้ด้วยตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป” นายบัณฑิต กล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,324 วันที่ 21 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560
