‘อีฟ โรเช’ชิงรุกตลาดแมส ชูกลยุทธ์ลดราคา-ขยายร้านเข้าไฮเปอร์

16 ธ.ค. 2560 | 10:14 น.
อีฟ โรเช ชู 2 กลยุทธ์ลุยตลาดปี 2561 ปรับลดราคาสินค้าลง 20% พร้อมปูพรมเข้าช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ตเจาะตลาดแมส จับสาวไทย สร้างการเติบโต 20%

นายเอียน ลองเด้น กรรมการผู้จัดการบริษัท อีฟ โรเช (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ อีฟ โรเช (Yves Rocher) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2561 ว่า ได้เตรียมขยายจุดจำหน่ายเพิ่มอีก 12 แห่งจากปัจจุบันมี 78 แห่ง โดยจะขยายเข้าไปในช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งบิ๊กซีและเทสโก้โลตัส จำนวน 8 แห่ง ส่วนอีก 4 แห่งจะขยายไปยังศูนย์การค้าทั่วไป ซึ่งการขยายเข้าไปยังช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าว เนื่องจากต้องการให้สินค้ากระจายเข้าไปถึงกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศได้

[caption id="attachment_241465" align="aligncenter" width="503"] เอียน ลองเด้น กรรมการผู้จัดการบริษัท อีฟ โรเช (ประเทศไทย) จำกัด เอียน ลองเด้น กรรมการผู้จัดการบริษัท อีฟ โรเช (ประเทศไทย) จำกัด[/caption]

ขณะเดียวกันในปี 2561 ได้เตรียมรีโนเวตร้านจำหน่ายในรูปแบบเดิมให้เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ภายใต้แนวคิดห้องปฏิบัติการความงามจากพฤกษาพรรณ (The Botanical Beauty Lab) ประมาณ 10 แห่ง ส่วนการเปิดสาขาใหม่จะใช้รูปแบบใหม่ทั้งหมด ขณะที่สาขาในรูปแบบเดิมจะทยอยปรับโฉมให้ได้ตามคอนเซ็ปต์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับโฉมจุดขายในรูปแบบใหม่ เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับสินค้าและรูปแบบร้านที่ทันสมัย สามารถทดลองสินค้าได้หลากหลายชนิด

ล่าสุด บริษัทได้เปิดสาขาในรูปแบบแฟล็กชิพ สโตร์แห่งแรกในเอเชีย ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยขนาดพื้นที่รวม 200 ตารางเมตรมากกว่าร้านในรูปแบบเดิมที่ใช้พื้นที่รวมประมาณ 80 ตารางเมตร ซึ่งใช้งบลงทุนมากกว่าสาขารูปแบบเดิมถึง 2 เท่า เนื่องจากวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ นำเข้าจากต่างประเทศ โดยร้านแฟล็กชิพจะมีสินค้าจำหน่ายมากกว่า 600 รายการ ขณะเดียวกันมีสินค้าพิเศษและสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่จำหน่ายในร้านแฟล็กชิพกว่า 50รายการด้วย

นายเอียน กล่าวอีกว่า การมีสินค้าพิเศษและเอ็กซ์คลูซีฟจำหน่ายในร้านแฟล็กชิพในต่างประเทศเช่นสาขาที่ประเทศฝรั่งเศสสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 50-60% จากร้านรูปแบบปกติ ซึ่งคาดว่าการเปิดสาขาในประเทศไทยจะทำยอดขายเติบโตได้ในอัตราเดียวกัน นอกจากนี้เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคคนไทยได้มากขึ้น ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจึงได้ใช้นโยบายการกำหนดราคาให้ถูกลง 20% ในกลุ่มสินค้าแฮร์แคร์และชาวเวอร์ อาทิ จากราคา 240 บาทลดลงเหลือ 199 บาท เป็นต้น ซึ่งมีสินค้าจำนวน 30% ที่ได้ปรับลดราคาลงมา

แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์-2 “เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตสินค้าเอง จัดหาวัตถุดิบเอง รวมถึงการบริหารจัดการต่างๆ เช่น ระบบโลจิสติกส์ ส่งผลให้สามารถบริหารต้นทุนโรงงานและกำหนดราคาให้ถูกลงมาได้เพราะต้องการขายจำนวนมากแม้จะมีกำไรต่อชิ้นน้อยลง ซึ่งนโยบายกำหนดราคาถูกลงได้เริ่มต้นใช้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาและเป็นนโยบายเฉพาะภายในประเทศไทยเท่านั้นปัจจุบันได้ลดราคากับสินค้า 2 กลุ่ม ต่อไปจะปรับลดราคาในสินค้ากลุ่มอื่นๆ ด้วย ซึ่งสินค้าที่แพงสุดของอีฟ โรเช จะเป็นเซรั่มบำรุงผิวราคา2,600 บาท และถูกสุดเป็นชาวเวอร์เจล ราคา 120 บาท ถือเป็นการกำหนดราคาแบบแมสแต่เน้นคุณภาพแบบพรีเมียม ซึ่งโพสิชันนิงของแบรนด์อยู่ระหว่างตลาดแมสและพรีเมียม ที่จับตลาดผู้หญิงทุกคนในราคาที่เข้าถึงได้”

สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ในอัตรา 12% เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ในอัตรา20%จากแผนธุรกิจที่วางไว้และผลต่อเนื่องจากการใช้นโยบายราคารวมถึงการขยายจุดจำหน่ายเข้าไปยังไฮเปอร์มาร์เก็ต ขณะเดียวกันยังมุ่งสื่อสารการตลาด และการสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพสินค้าและเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดโดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสส่วนกำลังซื้อของปีหน้าคาดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะผู้หญิงในปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,322 วันที่ 14 - 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว