บล.ทรีนีตี้แนะ 4 หุ้นเด็ดโค้งสุดท้ายปี'60

04 ธ.ค. 2560 | 09:53 น.
บล.ทรีนีตี้ แนะหุ้นเด็ดโค้งสุดท้ายปลายปี ยกให้ QH, BCP,WHAUP และ PRM เป็น Top pick น่าสะสม คาด SET Index เดือนธ.ค. แกว่งตัวในกรอบ 1,680 – 1,750 จุด จับตาแผนปฏิรูปภาษีของ “ทรัมป์” กดดันเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะสั้น แต่จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศเกิดใหม่ ในขณะที่ปัจจัยในประเทศ ยังมีข่าวดีหนุน จากการปรับมุมมองเศรษฐกิจดีขึ้น บวกกับแรงซื้อนักลงทุนสถาบันในประเทศผ่าน LTF-RMF อีกราว 2 หมื่นล้าน ช่วยประคองดัชนี

[caption id="attachment_238644" align="aligncenter" width="336"] นายณัฐชาต เมฆมาสิน นายณัฐชาต เมฆมาสิน[/caption]

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของเดือนธันวาคมปี 2560 มีหุ้นที่น่าลงทุน 4 ตัว คือ QH, BCP, WHAUP และ PRM โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังต่อไปนี้ โดยในส่วนของ QH มองการปรับตัวลงเป็นโอกาสในการ “ทยอยสะสม” ที่ราคาเป้าหมาย 3.50 บาท

ในเชิงพื้นฐานนั้น มองว่า QH มีความน่าสนใจ ใน 6 ประเด็น ได้แก่ 1) บริษัทเน้นโครงการทาวน์โฮมที่มี ความต้องการจริง (Real demand) อยู่มาก 2) การปรับปรุงรูปลักษณ์โครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆมากขึ้น 3) Margin มีแนวโน้มสูงขึ้นภายหลังบริษัทมีการปรับลดค่าใช้จ่าย SG&A ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4) มูลค่ารวมของบริษัทที่ลงทุนมีมากกว่ามูลค่า หลักทรัพย์ตามราคาตลาด ( Market cap) ของ QH 5) อัตราส่วนราคา QH/HMPRO ณ ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำสุดเกือบประวัติการณ์ 6) มีอัตราเงินปันผลคาดการณ์ (Expected dividend yield) ที่น่าสนใจกว่า 5%

สำหรับ BCP แนะ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 61 บาท มองระดับราคาปัจจุบันเป็นจุดที่น่าสนใจ เน้นลงทุนระยะยาวมีปัจจัย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 4 ที่อาจอ่อนตัวลงไปบ้างแล้ว 2) คาดอัตราการกลั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 4 หลังเหตุขัดข้องที่หน่วยแตกโมเลกุลด้วยไฮโดรเจนน่าจะถูกแก้ไขได้ 3) ค่าการกลั่นเริ่มยืนได้ที่ระดับ 7 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นเรื่องดีในสภาวะที่ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้น 4) ประเมิน Downside ของหุ้นที่ราคา 35 บาท อิงวิธี Liquidation value (Total Liquids asset – TL) 5) Market cap / EBITDA ของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจการตลาดอยู่เพียงแค่ 3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 5 เท่า 6) บริษัทมีอัตราส่วน Price-to-Cash flow ต่ำสุดในกลุ่ม และ7) Dividend yield อยู่ในระดับที่เหมาะสมที่ 4-5%

ส่วนหุ้น WHAUP แนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 9 บาท โดยมีจุดเด่นที่น่าสนใจ ดังนี้ 1)คาดแรงขายหุ้นในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเริ่มใกล้สิ้นสุด หลังผ่านพ้นวันสุดท้ายของการจองซื้อหุ้นสามัญ GULF และมีโอกาสได้ Sentiment เชิงบวกกลับมาหลังหุ้น GULF เตรียมเข้าเทรดในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ 2) ถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี MSCI Small Cap คาดว่าจะทำให้อยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนสถาบันต่างชาติมากขึ้น 3) ได้ประโยชน์จากโครงการ EEC 4) ล่าสุดปรับประมาณการในส่วนของ Equity Income เพิ่มขึ้น ภายหลังจากที่โรงไฟฟ้าต่างๆสามารถ COD ได้อย่างเต็มที่ตามแผน และ 5) แนวโน้มไตรมาส 4 คาดว่ากำไรจะปรับตัวดีขึ้นจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้น

วิทยุพลังงาน ด้านหุ้น PRM แนะ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 16.20 บาท มองจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้ 1) ราคาหุ้นปรับตัวลงมาสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 3 ที่อ่อนแอไปแล้ว 2) แรงกดดันในธุรกิจกลุ่มเรือ Aframax จากต้นทุนพลังงานที่ผันผวน มีแนวโน้มว่าจะบรรเทาลงในช่วงถัดไป เนื่องจากล่าสุดบริษัทได้ทำสัญญาแบบ Time Charter ซึ่งเป็นสัญญาที่ลูกค้าผู้เช่าเรือจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แทน 3) ขณะที่ไตรมาส 4 คาดกำไรฟื้นตัว จาก High season ของการขนส่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ซึ่งมีอัตราการเติบโตของเที่ยวบินในระดับสูง

นายณัฐชาต ยังคาดการณ์แนวโน้ม SET Index ในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,680 – 1,750 จุด โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดดังต่อไปนี้ 1) ความคืบหน้าของมาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องดูว่าร่างกฎหมายฉบับที่เห็นชอบจากสภาล่างจะถูกเห็นชอบจากสภาสูงหรือจะถูกแก้ไขใหม่ ซึ่งหากถูกแก้ไขก็จะต้องดูว่าสภาล่างมีมติเห็นชอบด้วยหรือไม่ ตราบใดที่ยังคงเกิด Gridlock เช่นนี้ คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะสั้น แต่จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศเกิดใหม่ นอกจากนั้นต้องติดตามการเจรจาต่อรองปรับขึ้นเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯในช่วงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งอาจต้องแลกด้วยการปรับลดการใช้จ่ายภาครัฐลงอีกในอนาคต หากการเจรจามีความยุ่งเหยิง จะเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เช่นกัน

2) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 12-13 ธันวาคมนี้ คาดว่า Fed จะมีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.00-1.25% เป็น 1.25-1.50%แต่เป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์อยู่แล้ว 3) ตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลก ซึ่งหากเริ่มชะลอลงจะเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นต่อ ราคาโลหะอุตสาหกรรม ราคาหุ้นกลุ่มวัฏจักร และ ดัชนีค่าระวางเรือ 4) การปรับเพิ่มประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของไทย ภายหลังจากที่ GDP ไตรมาส 3/60 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากสำนักวิจัยต่างชาติ รวมถึงการปรับเพิ่มคำแนะนำในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและค้าปลีก 5) แรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่คาดว่าจะเข้ามาอีกประมาณ 20,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากเม็ดเงิน LTF/RMF เป็นสำคัญ น่าจะเป็นปัจจัยช่วยประคับประคองตลาดได้เป็นอย่างดี โปรโมทแทรกอีบุ๊ก