บลจ.อเบอร์ดีน มองหุ้นแบงก์-วัสดุก่อสร้าง-อสังหาฯ ราคายังถูก
บลจ.เบอร์ดีน ชี้หุ้นไทยขึ้นต่อเนื่องปีนี้ดัน P/E แตะเพดานค่าเฉลี่ยในอดีต มองหุ้นกลุ่มแบงก์ วัสดุและอสังหาริมทรัพย์ยังซื้อขายราคาต่ำกว่าตลาด ส่วนปีหน้ากำไรบจ.เติบโต 10% มองเลือกตั้งช่วยดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน ระบุว่า GDP ในไตรมาสที่สามของไทยเติบโตสูงกว่าทีคาดไว้ (4.3% yoy) จากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยในเดือนกันยายนเติบโตได้ถึง 13.4% yoy รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องและการใช้จ่ายสาธารณะ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของ GDP เป็ น 3.8% จากปี ก่อน ในขณะที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) คาดการณ์ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% yoy สําหรับดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index) ซึ่งเดิมเคยเปราะบางก็กลับมาฟื นตัวได้อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น 3.1% yoy โดยที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index) มีการขยายตัวนับเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน
ด้านอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่แท้จริงของไทยยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ สําหรับอัตราผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตลอดทั้งปี จนถึง ณ สิ้ นเดือนกันยายน 2560 ยังคงตามหลังภูมิภาคเมื่อเทียบกับดัชนี MSCI Asia-ex-Japan Index (เทียบสกุลเงินท้องถิ่น) โดยตลาดคาดการณ์ว่าอัตราส่วนกําไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ในปี 2560 และ 10% ในปี 2561 อย่างไรก็ตามราคาดัชนีที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบันทําให้อัตราส่วนกําไรต่อหุ้น (P/E) ทะยานขึ้นไปจนแตะเพดานค่าเฉลี่ยในอดีต
อย่างไรก็ตามถ้ามองในแง่ราคาหุ้นต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/B) ภาคธนาคาร, วัสดุและอสังหาริมทรัพย์ยังคงซื้อขายกันในราคาที่ตํ่ากว่าตลาด ในแง่ของความมีเสถียรภาพภาคธนาคารยังคงมีสํารองในระดับสูง แม้ว่าจะมีการก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพตลอดมา สินเชื่อโดยรวมและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิยังคงขยายตัวได้ดี ปัจจัยเหล่านี้ ยังคงกดดันมูลค่าของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แม้ว่าจะเห็นว่ามีการเติบโตก็ตาม ในปีนี้จะได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง จะได้เห็นการกลับมาของตัวเลขยอดขายในตลาดรถยนต์และจักรยานยนต์ในประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นภาพหนึ่งที่แสดงถึงการบริโภคที่ดีขึ้น
ผลจากการค้าโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ทําให้ภาคการส่งออกของไทยได้รับประโยชน์และสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยผลักดัน GDP ของประเทศในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นตัวช่วยสร้างรายได้ที่สําคัญ ทําให้ทั้งสองภาคส่วนเป็นดาวเด่นในการสร้างรายได้เข้าประเทศซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 16.6% ของ GDP หรือเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี2553 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามผลจากการเติบโตของทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวกลับเป็นปัจจัยกดดันอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาททําให้เกิดการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องแต่ยังคงสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น นโยบายการเงินและการคลังยังสอดคล้องและเอื้ออํานวยต่อกัน ในขณะที่การลงทุนของภาครัฐชะงักลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามภาวะอัตราดอกเบี้ยในระดับตํ่าและการค้าที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับระดับราคานํ้ามันโลกในปัจจุบันส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ทําให้ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปนักจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนที่มากขึ้น
ภาวะสงบทางการเมืองและคาดการณ์การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภายในประเทศทําให้เราคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ
ประเด็นสําคัญคือประเทศไทยประสบปัญหาสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งอาจส่งผลทําให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงในระยะยาว อย่างไรก็ตามบริษัทที่บลจ.เบอร์ดีนไปลงทุนไว้มีการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศทีมีอัตราการเติบโตสูง ซึงทําให้พอร์ทการลงทุนของบลจ.อเบอร์ดีนยังคงสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากทั้งภายในประเทศและเศรษฐกิจโลกได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา Passive fund เติบโตได้ดีจากการไหลเข้าของ Fund flow ตามสภาพคล่องโลกจากนโยบาย QE และสภาพเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน รวมถึงการเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดงบดุลของสหรัฐอเมริกาทําให้ความน่าสนใจในการลงทุนใน Passive Fund ลดลง โดย Aberdeen Standard Investment เป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มีรูปแบบการบริหารการลงทุนแบบ Active
บลจ.อเบอร์ดีนเชื่อว่าการเติบโตของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกัน และบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีสถานะทางการเงินที่ดีมีคุณภาพเท่านั้นที่จะเป็นบริษัทที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน บลจ.อเบอร์ดีนจึงให้ความสําคัญเป็นอย่างมากกับการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom Up ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าด้วยปรัชญาการลงทุนของบลจ.อเบอร์ดีนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวของนักลงทุนได้
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน ระบุว่า GDP ในไตรมาสที่สามของไทยเติบโตสูงกว่าทีคาดไว้ (4.3% yoy) จากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยในเดือนกันยายนเติบโตได้ถึง 13.4% yoy รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องและการใช้จ่ายสาธารณะ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของ GDP เป็ น 3.8% จากปี ก่อน ในขณะที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) คาดการณ์ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% yoy สําหรับดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index) ซึ่งเดิมเคยเปราะบางก็กลับมาฟื นตัวได้อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น 3.1% yoy โดยที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index) มีการขยายตัวนับเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน
อย่างไรก็ตามถ้ามองในแง่ราคาหุ้นต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/B) ภาคธนาคาร, วัสดุและอสังหาริมทรัพย์ยังคงซื้อขายกันในราคาที่ตํ่ากว่าตลาด ในแง่ของความมีเสถียรภาพภาคธนาคารยังคงมีสํารองในระดับสูง แม้ว่าจะมีการก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพตลอดมา สินเชื่อโดยรวมและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิยังคงขยายตัวได้ดี ปัจจัยเหล่านี้ ยังคงกดดันมูลค่าของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แม้ว่าจะเห็นว่ามีการเติบโตก็ตาม ในปีนี้จะได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง จะได้เห็นการกลับมาของตัวเลขยอดขายในตลาดรถยนต์และจักรยานยนต์ในประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นภาพหนึ่งที่แสดงถึงการบริโภคที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามผลจากการเติบโตของทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวกลับเป็นปัจจัยกดดันอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาททําให้เกิดการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องแต่ยังคงสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น นโยบายการเงินและการคลังยังสอดคล้องและเอื้ออํานวยต่อกัน ในขณะที่การลงทุนของภาครัฐชะงักลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามภาวะอัตราดอกเบี้ยในระดับตํ่าและการค้าที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับระดับราคานํ้ามันโลกในปัจจุบันส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ทําให้ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการนําเข้าอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปนักจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนที่มากขึ้น
ภาวะสงบทางการเมืองและคาดการณ์การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภายในประเทศทําให้เราคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ
นอกจากนี้ ในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา Passive fund เติบโตได้ดีจากการไหลเข้าของ Fund flow ตามสภาพคล่องโลกจากนโยบาย QE และสภาพเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน รวมถึงการเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดงบดุลของสหรัฐอเมริกาทําให้ความน่าสนใจในการลงทุนใน Passive Fund ลดลง โดย Aberdeen Standard Investment เป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มีรูปแบบการบริหารการลงทุนแบบ Active
บลจ.อเบอร์ดีนเชื่อว่าการเติบโตของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกัน และบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีสถานะทางการเงินที่ดีมีคุณภาพเท่านั้นที่จะเป็นบริษัทที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน บลจ.อเบอร์ดีนจึงให้ความสําคัญเป็นอย่างมากกับการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom Up ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าด้วยปรัชญาการลงทุนของบลจ.อเบอร์ดีนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวของนักลงทุนได้
